Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Kim Philby

คิม ฟิล์บี้ (Harold Adrian Russell Philby, Ким Филби)

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ SIS , 1 ใน Cambridge Spies
เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1912 อัมบาลา,รัฐปัญจาบ (ในอินเดีย) ,บริติช อินเดีย  
เขาเป็นลูกชายของ Harry St. John Bridger Phiby (หรือ Jack Phiby หรือ Sheikh Abdullah) เซนต์จอห์น เกิดในบริติส ศรีลังกา เขาทำงานให้ Indian Civil Service (รัฐบาลที่ปกครองบริติช อินเดีย แต่งตั้งโดยอังกฤษ) และยังเคยทำงานเป็นสายลับให้ MI6 ต่อมาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม แต่งงานกับหญิงชาวซาอุ อาศัยอยู่ท่ามกลางชนเผ่าเบดูอิน และได้เป็นที่ปรึกษาให้กับกษัตริย์ซาอุ Ibn Saud
ชื่อเล่นว่า Kim เป็นชื่อที่พ่อของเขาตั้งให้ตามตัวละครในนวนิยายของคิปลิง (Rudyard Kipling)
เขาเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนอัลโดร ( Aldro prep school) ในอังกฤษ ก่อนที่จะเข้าเรียนระดับมัธยมที่เวสต์มินสเตอร์ 
1928 เข้าเรียนต่อที่ไตรนิตี คอลเลจ์ (Trinity College) มหาวิทยาลัยแคมบริจ ด้านประวัติศาสตร์ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเรียนเศรษฐศาสตร์ ระหว่างเรียนเขาเข้าร่วมกับชมรมสังคมนิยมแห่งแคมบริจด้วย
1933 เรียนจบจากมหาวิทยาลัย โดยได้ปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์ 
ไม่นานหลังจากเรียนจบเข้าได้แต่งงานกับ Maurice Dobb ซึ่งเธอได้แนะนำเขาให้รู้จักกับ Willi Munzenberg ซึ่งเป็นประธานของ The World Federation องค์กรของคอมมิวนิสต์ที่ซึ่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการกดขี่ของนาซีในเยอรมัน  ซึ่งทำให้ฟิบี้ ได้เข้าไปทำงานให้กับองค์การโคมินเทิร์นอย่างลับๆ ในเวียนนา โดยทำงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากนาซี ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ตกหลงรักกับ Litzi Friedman เธอเป็นคอมมิวนิสต์ชาวฮังการีเชื้อสายยิว พวกเขาแต่งงานกันในเดือนเมษายน 1934 การไปเวียนนาครั้งนี้ของเขาน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขากลายเป็นสายลับให้กับโซเวียต
1934 ช่วงมิถุนายน เขาติดตต่อกับ Arnold Deutsch ชางฮังการี ที่เป็นสายลับของโซเวียต อาร์ดโนล์ดกลายเป็นเจ้านายคนแรกของฟิล์บี้ในฐานะสายลับของโซเวียต ตอนนั้นอาโนล์ด อาศัยอยู่ในลอนดอน เพื่อศึกษาในมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ไม่นานตำแหน่งของอาร์ดโนล์ด ก็ถูกแทนที่โดย Teodor Maly ชาวฮังการีด้วยเช่นกัน
ฟิล์บี้ เริ่มเรียนภาษารัสเซียใน School of Slavonic languages  แต่ว่าภาษารัสเซียของเขาไม่ค่อยจะดีนัก
1936 ทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ธุรกิจ Anglo-Russia Trade Gazette
1937 หลังจากนั้นเขาได้ทำงานให้กับนิตยสาร The Times โดยเป็นผู้สื่อข่าวพิเศษในสงครามกลางเมืองในประเทศสเปน  ตอนเดือนธันวาคมเขาและเพื่อนซึ่งอยู่บนรถ ถูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงโดยฝ่ายรีพับพลิกันตกเขาใส่รถที่พวกเขานั่งอยู่ ทำให้นักข่าวบางคนเสียชีวิต ในขณะฟิล์บี้โชคดีที่บาดเจ็บที่ศรีษะเล็กน้อย
1939 ช่วงที่สงครามใกล้จะปะทุ ฟิล์บี้ ตองหลบหนีออกจากเมือง Boulogne ในวันที่ 21 พฤษภาคม ผ่านเข้าเมือง Cherbourg ไปยัง Brest เพื่อล่องเรือกลับไปยังเมือง Plymouth ในอังกฤษ ซึ่งเป็นเวลาเพียง 24 ชั่วโมงก่อนที่ฝรั่งเศสจะยอมจำนนต่อนาซี จากนั้นเขาได้เดินทางโดยรถไฟจาก Plymouth กลับมายังลอนดอน ระหว่างอยู่บนรถไฟ เขาได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับ Marjorie Maxse ซึ่งได้เสนอให้เขาเข้าทำงานกับหน่วย Special Operations Executive ที่ก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิว เพื่อทำสงครามแบบกองโจร โดยฟิล์บี้ได้รับหน้าที่ในการดูแลงานด้านการโฆษณาช่วนเชือ SOE นี้มีสำนักงานใหญ่ใน Beaulieu, Hamshire
กรกฏาคม กลับมายังลอนดอน , สนธิสัญญา Molotov-Ribbentrop ระหว่างเยอรมันและโซเวียต ที่จะไม่รุกรานและยุ่งเกี่ยวกิจการของกัน และยังตกลงที่จะแบ่งโปแลนด์เป็นสองส่วน ทำให้อังกฤษกลายมาเป็นศัตรูกับโซเวียต ฟิล์บี้ เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องแบ่งดินแดนดังกล่าว ตอนนั้นเองการติดต่อระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่สายลับของโซเวียตก็ขาดไป 
1940 เข้าทำงานกับ SIS section (Secret Intelligence Service) หน่วยงานสายลับของอังกฤษ ที่รู้จักกันในชื่อ MI6 ทำให้เขาสามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการ Operation Barbarossa ของเยอรมันที่จะบุกโซเวียตไปยังรัฐบาลมอสโคว์ได้ ตอนนั้นเขายังให้ข้อมูลด้วยว่าญี่ปุ่นไม่มีแผนการจะบุกโซเวียจอย่างที่ฮิตเลอร์อ้าง เพราะญีุ่ปุ่นต้องการโจมตีสิงคโปว์แทน นั้นทำให้โซเวียตย้ายทหารจากตะวันออกไกลกลับมาเพื่อป้องกันมอสโคว์
1941 กันยายน เขาทำงานอยู่ใน Section V ของ MI6 
1946 เขาหย่าขาดกับ Litzi ทั้งคู่แยกกันอยู่มานานหลายปีแล้ว แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
1947 ฟิล์บี้ ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าสายลับประจำตุรกี โดยเขาได้แต่งงานกับภรรยาคนที่สองด้วย ชื่อ Alileen โดยที่ฉากหน้าของฟิล์บี้นั้น เขาคือ เลขานุการของสถานกงศุลประเทศอังกฤษ แต่หน้าที่ในฐานะสายลับคือการจับตาดูสายลับอังกฤษเองและสายลับต่างชาติในตุรกี
1949 เขาเดินทางไปวอชิงตัน เขาทำงานอยู่ในสถานทูตอังกฤษและยังคงมีหน้าที่เป็นสายลับของ MI6 โดยได้รับหน้าที่สำคัญเป็นคนประสานข้อมูลกับทาง CIA ซึ่งเขาสามารถล้วงความลับของอเมริกาและอังกฤษที่ต้องการโค่น  Enver Hoxha ปธน.อัลเบเนียได้ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยให้สายลับโซเวียตในอัลเบเนียหลายคนรอดพ้นจากการถูกจับตัวได้, เปิดเผยข้อมูลของโครงการ VENONA  project ให้กับโซเวียตรับรู้ ซึ่งโครงการดังกล่าวสหรัฐและอังกฤษ สร้างขึ้นเพื่อถอดรหัสข้อมูลขอโซเวียต ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการนี้ถูกใช้ถอดรหัสข้อมูลของสายลับโซเวียต  เพราะตอนนั้นเสมียรของฝ่ายโซเวียตส่งข้อมูลโดยใช้ One Time Pad ในการเข้ารหัส ซึ่งปกติแล้วอุปกรณ์นี้ไม่สามารถที่จะถอดรหัสได้ แต่ด้วยที่เสมียรใช้งานมันผิดทำให้ซีไอเอสามารถถอดรหัสมันออกมา ทำให้บทบาทของสายลับที่ใช้ชื่อว่า HOMER นั้นถูกเปิดเผย   ฟีล์บี้ รู้อยู่แล้ว่า Homer คือ Donald Maclean ซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตอังกฤษด้วยกัน  ในขณะที่ Guy Burgess ซึ่งเป็นเลขานุการอันดับสองในสถานทูตอังกฤษเองก็เป็นสายลับให้โซเวียตด้วย ช่วงปี 1950 เริ่มมีแรงกดดันมาที่สถานทูตว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่อังกฤษที่เป็นสายลับ ตอนนี้แมเคลียนอยู่ในอังกฤษ ฟีล์บี้ จึงส่งให้เบอร์เกสส์ เดินทางไปยังลอนดอนเพื่อเตือนให้เขารู้ตัวว่าถูกจับตาอยู่ และสั่งให้เขาหลบหนึซะ ซึ่ง MI6 ได้พยายามที่จะจับแมเคลียน ในวันที่ 28 พฤษภาคม แต่ว่าแมเคลียนและเบอร์เกสส์ได้หนีออกไปจากบ้านก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของเขาเอง โดยแมเคลียนและเบอร์เกสส์ใช้เรือล่องข้ามมายังฝรั่งเศส ก่อนที่ในอีก 5 ปีต่อมาโซเวียตถึงจะยอมรับว่าทั้งคุ่อยู่ในประเทศ
ส่วนฟีส์บี้ นั้นเขาถูกสงสัยมากหลังเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เขาก็ยืนยันปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นสายลับ แต่ว่า แม้แต่เจ้าหน้าที่ของอังกฤษหลายคนเองก็ต่างเชื่อใจและมั่นใจว่าฟิส์บี้ ไม่ได้ทำงานให้โซเวียต ทำให้ฟิส์บี้ รอดพ้นการถูกจับได้ 
หลังจากปี 1952 แล้วเขาจึงไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญอีก และการติดต่อกับโซเวียตเหมือนจะหายไป เขาพยายามหางานเป็นนักหนังสือพิมพ์ และได้เข้าทำงานกับ Fleet Street Letter ในปี 1954
1955 ความสงสัยต่อตัวฟิส์บี้ยุติลง เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ Harod Macmillan ประกาศว่าเขาไม่สงสัยในตัวฟิส์บี้อีก ซึ่งฟิส์บี้ ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ในเวลาต่อมาด้วยอาการสงบว่าไม่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทำงานให้กับ MI6 อีก
1956 ถูกส่งตัวไปยังเบรุต ในฐานะผู้สื่อข่าวพิเศษของ The Observer, The Economist  ที่นี่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวกับ Eleanor ซึ่งสามีของเธอ Sam Pope Brewer เป็นนักข่าวให้ New York Time
1957 ภรรยาของเขา Alileen เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในอังกฤษ
1959 ฟีส์บี้ แต่งงานกับอีเลียนอ หลังเธอหย่ากับสามีเก่า พวกเขาตั้งรงรากอยู่ในเบรุต … งานในฐานะนักข่าวของเขายุ่งมาก และต้องเดินทางไปหลายประเทศในตะวันออกกลางเป็นประจำ
1961 Anotoliy Golitsym เจ้าหน้าที่ระดับนายพลของ KGB ในฟินแลนด์ แปรพักตร์มาอยู่กับสหรัฐ ซึ่งทำให้ SIS ได้เขาพยายานในการตรวจสอบกรณีฟิส์บี้ว่าเป็นสายลับโซเวียตจริงหรือไม่
1963 23 มกราคม ฟิส์บี้ หลบหนีออกจาเบรุต ไปยังโซเวียต ไม่มีใครทราบว่าเขารู้ตัวได้อย่างไร แต่ปีก่อนหน้านี้เขาเริ่มีอาการกังวลและกลายเป็นคนที่ดื่มหนักมาก ทางการโซเวียตยืนยันในเดือนกรกฏาคมต่อมาว่าโซเวียตรับตัวเขาเอาไว้แล้ว
ชีวิตในโซเวียตของเขานั้นได้เงินเดือนจากทางการเดือนละ 500 รูเบิ้ล แต่ไม่มีงานสำคัญอะไรในออฟฟิตของเคจีบี เขาเองถูกจับตามองจากทางการโซเวียตตลอดเวลา
1968 เขาพิมพ์หนังสือ My Silent War ในประเทศอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ยังไม่อนุญาตให้พิมพ์ในโซเวียตจนปี 1980
1971 แต่งงานกับ Rufina Ivanova Pukhova
1988 เขาเสียชีวิตในมอสโคว์ และถูกฝังที่สุสาน Kuntsevo cemetery , หลังเสียชีวิตไปแล้ว ได้รับรางวัล Order of Lenin, Order of the Red Banner, World War 1st Level,  Order of Friendship of people.
Don`t copy text!