Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Aleksey N. Tolstoy

อเล็กซี ตอลสตอย (Алексей Николаевич Толстой)
นักเขียน และนักประวัติศาสตร์
A.N. Tolstoy เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1882 (10 มกราคม 1883 ปฏิทินปัจจุบัน) พ่อของเขาเป็นเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่ง ชื่อ เคานต์ นิโคไล (Count Nikolai Tolstoy, 1849-1890) แต่ว่าอเล็กซึ ไม่เคยรู้จักกับพ่อของตัวเองเลย เพราะว่าแม่ของเขา ชื่ออเล็กซานดร้า (Aleksandra Leoptyevna Turgenev)  นั้นแยกทางกับพ่อของเขาตอนที่กำลังตั้งครรภ์ โดยเธอไปอยู่กับสามีใหม่ ชื่ออเล็กซี่ (Aleksey Bostrom) ในฟาร์มแห่งหนึ่ง ใกล้ๆเขตซามาร่า (Samara Region)
ความสัมพันธ์ของเขากับลีโอ ตอลสตอย นั้นเป็นเพียงแค่ญาติห่างๆ กันมาก ทางฝ่ายของพ่อ
อเล็กซานดร้า นั้นเป็นนักเขียน เธอเคยมีผลงานนิยายเรื่อง Irrepressible Heart และ In The Backwaters และยังมีหนังสือสำหรับเด้กจำนวนหนึ่ง เธอสอนให้อเล็กซี เขียนนิยายมาตั้งแต่เล็ก และผลงานเล่มแรกของเขาเป็นนิทานที่มีตัวเอกชื่อ Styopka เขาไม่รู้จักพ่อที่แท้จริงว่าเป็นใครจนกระทั้งตอนอายุ 13 ปี ถึงรู้ว่าบอสตรอมนั้นเป็นแค่พ่อเลี้ยง แต่เมื่อรู้ความจริงแล้วเขาก็ปฏิเสธที่จะพบพ่อที่แท้จริงและยังคงนับถือบอสตรอมเช่นเดิม  สภาวะแวดล้อมที่เขาเติมโตมานั้นอยู่ท่ามกล่างผู้นิยมลัทธิมาร์ซและต่อต้านระบบซาร์ และยังไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ตอนเด็กนั้นเขาเรียนหนังสืออยู่กับบ้านโดยมีแม่และพ่อเลี้ยงคอยสอนการอ่านและเขียน
1896 ตอนอายุ 14 ปี เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนครั้งแรก และเรียนระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนในซามาร่า แต่ปีต่อมาเมื่อครอบครัวมีฐานะแย่ลงจนต้องขายฟาร์มออกไป ครอบครัวเขาจึงได้ย้ายมายังซามาร่า
1900 เคานต์นิโคไล บิดาที่แท้จริงของ เอ.เอ็น ตอลสตอย เสียชีวิต เขาทิ้งสมบัติกว่าสามหมื่นรูเบิ้ลไว้ให้กับทายาท ซ
1901 ครอบครัวย้ายมาอยู่ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
1902 ตอนอายุ 19 ปี เขาได้แต่งงานกับ จูเรีย โรซานสกี (Julia Rozhansky) เธอเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย เป็นลูกสาวของนายแพทย์ หลังจากแต่งงานแล้ว เขาได้เดินทางไปยังเยอรมันพร้อมภรรยา ซึ่งระหว่างนั้น เอ.เอ็น ตอลสตอย ได้พบกับ โซเฟีย ดิมซิต (Sophia Dymshits) เขาเกิดตกหลุมรักเธอ แต่ว่าพี่ชายของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของเขาได้พาน้องสาวหนีกลับมายังเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ตอลสตอยเองกลับไปยอมแพ้ เมื่อเขากลับมาเซนต์ปีเตอร์เบิร์กก็ได้พยายามที่จะติดต่อกับโซเฟียอีก ซึ่งโซเฟียก็ระมัดระวังตัวเพราะเห็นว่าเขาแต่งงานอยู่แล้ว และได้ขอให้ตอลสตอยกลับไปคิดใหม่อีกครั้งระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยอีก
1905 เข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีีแห่งเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งระหว่างเรียนเขาได้ถูกส่งออกไปฝึกงานในแถมเทือกเขายูราล ซึ่งเขาได้นำมาเขียนเป็นหนังสือ The Best Travel to the Middle Urals: Fats, Legents, Traditions (Лучшие путешествия по Среднему Уралу: факты, легенды, предания)
ระหว่างเรียนนี้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรค RSDLP , ร่วมการเดินขบวนประท้วงในบนถนนเนฟสกี พรอสเปกต์ ( Nevsky Prospekt) แต่ว่าผู้ประท้วงก็ถูกตำรวจสลายไป แต่ว่าความสนใจทางการเมืองของเขาหยุดชะงักหลังจากพรรคแตกเป็นสองฝ่ายของบอลเชวิคและเมนชิวิค ซึ่งเขาไม่ได้เลือกเข้ากับฝ่ายไหนเลย เขาไม่ชอบระบบการเมืองในขณะนั้นและก็มองว่าระบบของสังคมนิยมที่พร่ามพรรณานั้นไร้สาระและไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
1907 ตอลสตอย ทอดทิ้งจูเรีย และลูกในวัยทารก ชื่อว่า จอร์จ และมาแต่งงานกับโซเฟีย … จอร์จลูกของเขานั้นต่อมาเสียชีวิตตอนอายุ 3 ขวบ
มีผลงานหนังสือบทกวีรวมเล่ม ชื่อ Lirika และในปีต่อมาได้เขียนโคลงครั้งแรกชื่อ The Old Tower (Старая башня)
1914 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาทำงานเป็นนักข่าวในสงคราม ก่อนที่จะเดินทางไปยังฝรั่งเศสและอังกฤษในปี 1916 ซึ่งประสบการณ์ในสงครามนี้ทำให้เขานำมาเขียนหนังสือชื่อ On The War
ช่วงฤดูใบไม้ผลินี้เขาเดินทางไปพักผ่อนที่ไครเมียกับโซเฟีย แต่ว่าเขาเกิดไปติดใจเด็กสาวคนหนึ่ง จนกระทั้งโซเฟียต้องหนีไปปารีส และนำลูกของพวกเขา ชื่อ มาเรียน่า (Mariana) ที่ยังแบเบาะไปฝ่ายกับญาติ แต่เมื่อเกิดสงครามโลกขึ้นมา โซเฟียก็ต้องกลับมารัสเซีย ซึ่งเด็กสาวที่เอ.เอ็น ตอลสตอย ติดพันธ์ก็หนีจากเขาไปแล้วกัน ทำให้ทั้งคู่ทนอยู่ด้วยกันแบบไปราบรื่นมาอีกระยะหนึ่ง
1917 ระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย เขามีหนังสือกึ่งประวัติศาสตร์ชื่อ Peter’s Day (Петр I)ซึ่งเขียนชีวประวัติของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์ ที่ 1 มหาราช หนังสือแบ่งออกมาเป็นตอนๆ พิมพ์จนถึงปี 1945 แต่ว่าไม่เคยเสร็จสมบูรณ์ 
หลังการปฏิวัติ เขาได้ทำงานให้กับหน่วยโฆษณาช่วยเชื่อภายใต้การดูแลของนายพลแอนตัน เดนิกิ้น (Gen. Anton Denikin) เขานั้นไม่ชอบเลนิน และทร็อตสกี จึงได้เลือกเข้ากับฝ่ายกองทัพขาวในช่วงสงครามกลางเมือง และเมืองกองทัพขาวเป็นฝ่ายแพ้ในปี 1921 เขาได้หลบหนึออกจากเมืองโอเดสสา ในยูเครน ลงเรือมายังปารีส
ปีนี้เขาหย่ากับโซเฟีย ภรรยา และมีความสัมพันธ์กับ นาตาเลีย (Natalia Vasilievna Volkenstein) ซึ่งนาตาเลียเองก็แยกทางจากสามีเก่าของเธอมาเช่่นกัน ต่อมาทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน และรับเลี้ยงดูลูกติดของนาตาเลียจากสามีเก่าอีกหนึ่งคน
1922 The road to Calvary(Хождение по мукам) เริ่มออกพิมพ์ มันเป็นนิยายไตรภาค แนวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามในรัสเซีย  ซึ่งบรรยายภาพการปฏิวัติกับความสัมพันธ์กับคนในยุคสมัย ระหว่างปี 1914 ถึง 1919 , นอกจากนี้เขายังเขียนบทละครเวทีอีกหลายเรื่องระหว่างอยู่ในปารีสด้วย , ตอนนี้เขาเริ่มลงมือเขียน Nikita’s Childhood และ Sisters
ไม่นานหลังจากนี้เขาย้ายไปยังเบอร์ลิน ซึ่งตอนอยู่ในเยอรมันเข้าได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของแม็กซิม กอร์กี ซึ่งเป็นฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ ทำให้เขาเข้าทำงานในกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ On The Eve ของบอลเชวิคในเบอร์ลิน
พฤษภาคม เดินทางกลับโซเวียต 
1923 นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ Aelita ซึ่งเป็นเรื่องราวการผจญภัยไปยังดาวอังคาร (Аэлита )
1924 หนังสือเรื่อง Adventures of Nevzorov (Похождение Невзорова) ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากช่วงที่เขาเดินทางเยือนหลายประเทศระหว้าง  1900-1923 อย่างอิสตันบูล เบอร์ลิน และปารีส
1925 The Hyperboloid of Engineer Garin ( Гиперболоид инженера Гарина)เป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ซึ่งกลายเป็นผลงานคลาสสิคเรื่องหนึ่งของรัสเซียในแนวนี้
1927 นวนิยายเรื่อง The Great Fires( Большие пожары ) พิมพ์ลงในแม็กกาซีน Spark
1937-1938 หลังการเสียชีวิตของแม็กซิม กอร์กี ในปี 1936 , เอ.เอ็น. ตอลสตอย ได้รับตำแหน่งประธานของสหภาพนักเขียน (The Union of Soviet Writers)
1939 ได้เข้าเป็นสมาชิกของ Academy of Sciences
1941 ได้รับรางวัล Stalin Prize จากผลงานเรื่อง Peter I
1943 ได้รับรางวัล Stalin Prize อีกครั้งจากผลงานเรื่อง The Road to Calvary
1945 เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1945 ในมอสโคว์
1946 หลังเสียชีวิตไปแล้ว เขาได้รับรางวัล Stalin Prize อีกครั้ง จากผลงานเรื่อง ณอฟื ะ้ำ ธำพพริสำ
Don`t copy text!