Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Michelangelo Buonarroti

มิเคลันเจโล บัวนาร์โรติ (Michelangelo Buonarroti)

เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1475 เป็นลูกชายคนที่ 2 ในพี่น้อง 5 คน พ่อของเขาชื่อ ลุโดวิโค (Ludovico  Buonarroti) มิเคลันเจโล เกิดในหมู่บ้านชื่อ คาเปรเซ่ (Caprese) ในจังหวัดตุสคานี (Tuscany) สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (Republic of Florence) แม่มีชื่อว่า ฟรานเซสก้า (Francesca di Neri del Miniato del Sera)
ลุโดวิโค เขียนบันทึกในวันที่ลูกชายเกิดเอาไว้ว่า … “วันนี้ 6 มีนาคม 1475 เด็กซึ่งมีเพศชายเกิดขึ้นมาเป็นบุตรของข้า และข้าได้ตั้งชื่อเขาว่า มิเคลันเจโล , เขาเกิดในวันจันทร์ ระหว่างตี 4 ถึงตี 5 ในตอนเช้า ในเมือง Caprese ที่ซึ่งข้าทำงานเป็นโปเตสต้า”
ตอนที่มิเคลันเจโล เกิดนั้น ลุโดวิโค นั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน (Podesta) ของหมู่บ้านคาเปรเซ่   และแม้ว่ามิเคลันเจโล จะเกิดในคาเปรเซ่ แต่ว่าเขาถือว่าตัวเองเป็นบุตรแห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เพราะว่าพ่อของเขากำเนิดจากที่เมืองนั้น
หลังจากมิเคลันเจโล เกิดไม่นานพ่อก็พาครอบครัวย้ายกลับมายังฟลอเรนซ์
ตระกูล บัวนาร์โรติ (Buanarroti) ในฟลอเรนซ์ นั้นเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียง  และส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการ ต้นตระกูลบัวนาร์โรติ ปรากฏในช่วงสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นในฟลอเรนซ์ ตั้งแต่ 1197 
1481 แม่ของเขาเสียชีวิต ตอนที่เขามีอายุเพียงหกขวบ ก่อนเสียชีวิตแม่ของเขาที่ป่วยหนักจนไม่สามารถเลี้ยงลูกเองได้ จึงได้นำเขาไปฝากให้พี่เลี้ยงคอยดูแล ซึ่งพี่เลี้ยงคนนี้ครอบครัวของเธอ เป็นช่างตัดหินในเหมือง ในเมือง Settignano ซึ่งพ่อของมิเคลันเจโลเองก็มีเหมืองหินอ่อนและไร่เล็กๆ อยู่ที่เมืองนี้ด้วย 
1482 พ่อของเขาส่งให้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนของ ฟรานเซสโค กาลาเตีย(Francesco Galatea) ทำให้มิเคลันเจโลได้รู้จักกับเพื่อน ชื่อฟานเซสโค กลาแนคคี  (Francesco Grannacii) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ด้านศิลปะของโดเมดิโค่ (Domenico Ghirlandaio) มิเคลันเจโลถูกเรียกว่าเป็น The Greek เพราะความสามารถด้านภาษาของเขา แต่ว่าเขาเป็นคนที่เรียนหนังสือไม่เก่ง   ฟรานเซสโก้ กลาแนคคี เป็นคนพามิเคลันเจโลไปเรียนการวาดรูปกับโดเมนิโค่ อย่างลับๆ 
1487 เขามาทำงานที่ร้านของโดเมดิโค่ ซึ่งตอนนั้นเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองแล้ว 
1489 พ่อของมิเคลันเจโล เปลี่ยนใจมาสนับสนุนให้ลูกชายเรียนด้านศิลปะ แม้ว่าในตอนแรกจะไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าเป็นงานของกรรมกร , ในปีนี้ผู้ปกครองของเมืองฟลอเรนซ์ ชื่อ โลเรนโซ๋ เมดิคี (Lorenzo de Medici) มิเคลันเจโล่ เข้าเรียนที่สถาบัน (Humanist academy) ที่เมดิคีเป็นผู้ตั้งขึ้น ซึ่ออยู่ในสวน ซานมาโคร (Garden of San Macro) โดยที่อาจารย์ที่สอนด้านปฏิมากรรมของเขาที่สถาบันนี้คือ จิโอวานนา (Bertoldo di Giovanna) ผลงานในช่วงแรกๆ ของมิเคลันเจโล่ เป็นงานหินอ่อนนูนต่ำ อย่าง Madonna of the Step (c.1490) Battle of the Centaurs (c.1491) Head of a faun (สาบสูญ)
1492 8 เมษายน เมดิคี เสียชีวิต ทำให้หลังจากนั้นมิเคลันเจโลเดินทางกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อ ในฟอร์เรน 
1493 เขาได้แกะสลักพระเยซูที่ถูกตรึงบนกางเขน (Wooden crucifix, 1493) มอบให้กับโบสถ์ซานโต สปิริโต (Santo Spirito) ซึ่งโบสถ์แห่งนี้ได้อนุญาตให้มิเคลันเจโลศึกษากายวิภาคของศพภายในโรงพยาบาลของโบสถ์ได้ 
1494 ปิเอโร เมดิคี (Piero de Medici) ได้รับอำนาจปกครองเมืองฟลอเรนซ์ ต่อจากโลเรนโซ่ บิดาของเขา แต่ว่าไม่นานปิเอโร ก็ถูก กิโรลาโม่ ซาโวนาโรล่า (Girolamo Savonarola) คู่แข่งทางการเมืองของเขาขับไล่ออกจากฟลอเรนซ์  มิคาลานเจโล่ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายเมดิคี ก็เลยหนึออกจากเมืองฟลอเรนซ์ไปยังเวนิช ก่อนที่จะต่อไปที่โบร็อกน่า (Bologna) ซึ่งที่เมืองนี้เขาได้ทำงานแกะสลักให้กับวิหารเซนต์โดมินิค (Shrine of St. Dominic) 
ช่วงปลายปี หลังการเมืองในฟลอเรนซ์สงบ เขาเดินทางกลับมายังเมืองอีกครั้ง แต่ว่าไม่สามารถหางานทำได้จากเจ้าเมืองคนใหม่ซาโวนาโรล่า แต่เราได้งานซ่อมรูปปั้น St. John the Baptist จากโลเรนโซ เมดิคิ (Lorenzo di Pierfrancessco de Medici) ซึ่งตั้งใจเอารูปปั้นขายไปยังพระคาดินาล ราฟาเอล (Cardinal Raffaele Riario) ซึ่งอยู่ในกรุงโรม ซึ่งต่อมาพระคาดินาลพบว่ารูปปั้นนั้นเป็นของปลอม แต่ว่าพระคาดินาล ราฟาเอล ประทับใจกับฝึมือในการซ่อมแซมรูปปั้นของมิเคลันเจโล จึงได้เชิญเขาไปยังกรุงโรม 
1496 25 มิถุนายน , เขาเดินทางมาถึงกรุงโรม และพระคาดินาล ราฟาเอล ได้จ้างให้เขาสร้างรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งไวน์ แบ็คชุส (Bacchus) แต่ว่าเมื่อเขาทำงานสำเสร็จ พระคาดินาลปฏิเสธผลงานของเขา ทำให้รูปปั้นถูกซื้อไปโดยนายธนาคารชื่อจาโคโป กัลลิ (Jacopo Galli) 
1497 เปียต้า (Pieta) หินอ่อนแกะสลักรูปพระแม่มารีอุ้มร่างของพระเยชูหลังถูกตรึงกางเขนถูกมิคาเลนเจโลสลักขึ้นตามการว่าจ้างของฑูตฝรั่งเศสประจำวาติกัน 
ในกรุงโรม มิเคลันเจโล ตกหลุมรัก วิตโตเรีย โคลอนน่า (Vittoria Colonna) เธอเป็นกวีและยังเป็นนักแกะสลักหินอ่อน 
1499 เดินทางกลับฟลอเรนซ์  หลังจากซาโวนาโรล่า ถูกประหารชีวิตไปแล้ว และฟลอเรนซ์กลายเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งเมเคลันเจโล ได้รับการว่าจ้างให้ทำรูปปั้นเดวิด (Statue of David) สำหรับนำไปตั้งที่พลาซ่าเวคคิโอ (Palzzo Vecchio) เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของเมือง มิเคลันเจโล ทำรูปปั้นเดวิดเสร็จในปี 1504 
1505 เขาถูกเชิญกลับมายังกรุงโรมโดยพระสันตะปาปา จูเรียส ที่ 2 (Pope Julius II) เพื่อให้สร้างสุสานสำหรับสันตะปาปาจูเรียสเอง ซึ่งทำให้เขาทำงานในกรุงโรมนี้อีก 40 ปีต่อมา แต่ว่าการทำงานที่วาติกันเขาก็มีคู่แข่งหลายคน ทั้งราฟาเอล (Raphael)
1513 สันตะปาปาจูเรียส ที่  2 สิ้นพระชน และสันตะปาปาองค์ใหม่ เลฟ ที่ 10 (Pope Leo X) ซึ่งมาจากตระกูลเมดิคี ได้ส่งมิเคลันเจโล กลับไปที่ฟลอเรนว์เพื่อทำงานตกแต่งโบสถ์บาซิลลิค่า ซานโลเรนโซ่ (Basilica of San Lorenzo) แต่ว่าโครงการประสบปัญหาเรื่องการเงินเป็นระยะๆ ทำให้โบสถ์แห่งนี้ไม่มีประติมากรรมประดับภายนอกอาคารเลยมาจนทุกวันนี้
1527 ชาวเมืองฟลอเรนซ์ลุกขึ้นมาต่อต้าน ตระกูลเมดิคี , มิเคลันเจโล เลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับชาวเมือง โดยเขาร่วมในการสร้างป้อมค่ายต่างๆ ที่ใช้ในการรบ
1530 สิงหาคม ฝ่ายเมดิคีสามารถเอาชนะ ชาวฟลอเรนซ์ได้ ทำให้มิเคลันเจโลเดินทางออกจากเมืองและไปอาศัยอยู่ในเวนิส 
1534 สันตะปาปา คลีเมนต์ ที่  7 (Pope Clement VII) เรียกให้มิเคลันเจโลกลับมาทำงานที่โรมต่อ ซึ่งระหว่างนี้เขาได้สร้างงานออกมาหลายชิ้น ทั้งภาพ The Last Judgement (c.1536) แต่ว่างานของเขาในช่วงนี้ถูกพระคาดินาลคาราฟา (Cardinal Carafa, ต่อมาเป็นสันตะปาปา พอล ที่ 4) เห็นว่าภาพเปลือยที่เขาสร้างขึ้นนั้นไม่เหมาะสม มิเคลันเจโล จึงได้จ้างลูกศิษย์ของเขา ดาเนียลี โวลเตอร์ล่า (Daniele da Vonterra) มาวาดภาพหรือสร้างชิ้นส่วนสำหรับปิดส่วนที่เป็นอวัยวะเพศ ผลงานของมิเคลันเจโล ที่มีการสร้างชิ้นส่วนมาปิดอวัยวะเพศ อย่างเช่น  Chirsto della Minerva, Madona of Bruges , Status of David 
1546 ได้รับแต่งตั้งเป็นสถาปนิกของวิหารเซนต์ปีเตอร์ปาซิลิคา (St. Peter’s Basilica) ในวาติกัน ซึ่งมิเคลันเจโลเป็นผู้ออกแบบโดมของวิหารหลังนี้ แต่ว่าเขาเสียชีวิตก่อนที่อาคารจะสร้างจนสำเร็จ
1564 18 กุมภาพันธ์ เสียชีวิตในวัย 88 ปี ในกรุงโรม ประเทศเพปาล (Rome, Papal State) , ร่างของเขาถูกนำกลับมายังฟลอเรนซ์ และหลุมศพของเขาอยู่ภายในโบสถ์บาซิลิคา ซานต้าครูต (Basilica di Santa Croce)
Don`t copy text!