Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Kasimir Malevich

คาสิมีร์ มาเลวิช (Казимир Северинович Малевич)
ผู้สร้างศิลปะ Suprematism และวาดภาพ The Black Square 
มาเลวิช เกิดในกรุงเคียฟ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1879 (11 กุมภาพันธ์ O.S.) ขณะนั้นยังเป็นจักรวรรดิรัสเซีย  พ่อของเขาชื่อเซเวริน (Seweryn) และแม่ชื่อ ลุดวิก้า (Ludwika Golinnovsky) ซึ่งทั้งคู่มีเชื้อสายโปแลนด์ มีลูกด้วยกันทั้งหมด 14 คน โดยที่มาเลวิชเป็นลูกคนที่ 4 แต่ว่ามีเพียง 9  คนในพี่น้องที่รอดชีวิตโตมาจนถึงวัยหนุ่มสาว,   เซเวริน เป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคในโรงงานน้ำตาล ภายในครอบครัวจะสื่อสารกันด้วยภาษารัสเซีย ยูเครน และโปแลนด์  ครอบครัวของเขามักย้ายที่อยู่บ่อยๆ ไปทั่วเขตของเคียฟ เพราะว่าต้องหาพื้นที่เหมาะสมในการปลูกหัวบีชซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาล 
1896 ครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เมืองเคิรสก์  (Kursk) โดยที่เซเวรินได้งานในบริษัทรถไฟ (Kursk-Moscow railway)
1899  แต่งงานกับคาซิเมียร่า (Kazimiera Sgleitz) แต่ว่าทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานกันในวันที่ 27 มกราคม 1902 ในโบสถ์อัสสัมชั่นในเคิรสก์ (Assumption of the Virgin church) 
1904 พ่อของมาเลวิช เสียชีวิต 
1905 ย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์ แต่ว่าภรรยาของเขาไม่เห็นด้วยและทั้งคู่ได้แยกทางกัน , มาเลวิชสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะมอสโคว์ (Moscow school of Painting, Sculpture and Architecture) และหว่างนี้ได้เข้าเรียนที่สตูดิโอของฟีดอร์ เรอร์เบิร์ก (Fedor Rerberg) ไปด้วย
1907 เขาส่งภาพเสก็ต 12 ภาพฝีมือของตัวเองเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการของสมาคมศิลปินแห่งมอสโคว์ ครั้งที่ 14 (14th Exibition of the Association of Moscow Artists) ซึ่งศิลปินที่ส่งภาพเข้ามาจัดแสดงมีทั้ง คานดินสกี (Wassily Kandinsky) , ลาริโอนอฟ (Mikhail Larionov) 
1909 แต่งงานเป็นครั้งที่ 2 กับ โซเฟีย (Sofia Rafalovich
1910 เขาเข้าร่วมกลุ่มศิลปินแจ๊คออฟไดม่อน (Jack of Diamonds) ทำให้มาเลวิชเข้าร่วมในศิลปะแนว นีโอ-ไฟร์มิติวิซึ่ม (Neo-Primitivism) ซึ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับศิลปะของชนบทของรัสเซีย ทั้งภาพที่เหมือนสัญลักษณ์ (Icons) ต่างๆ  และภาพลูบ๊อก  (Lubok) แต่ไม่นานกลุ่มแจ็คออฟไดม่อนก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปินตะวันตก ทำให้มาเลวิชออกจากลุ่ม และมาอยู่กับกลุ่มดอนกี้เทล (Donkey’s Tail) ซึ่งยังสนใจงานศิลปะชนบทของรัสเวียอยู่ แต่กลุ่มนี้ก็มีอายุอยู่ช่วงสั้นๆ 
1911 เข้าร่วมนิทรรศกาลการแสดงศิลปะครั้งที่ 2 ที่จัดโดยสหภาพยุวชน (Union of Youth) ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก  
 ช่วงนี้มาเลวิชหันไปสนใจงานศิลปะแนวคิวโบ-ฟิวเจอร์ลิซึ่ม (Cubo-Futurism) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพของอริสตาร์ค เลนตูลอฟ (Aristarkh Lentulov)  ซึ่งเลนตูลอฟ รวมกับแนวศิลปะแบบคิวบิซึม (Cubism) ของปิกัสโซ่ที่เน้นรูปทรงเลขาคณิต กับศิลปะแบบฟิวเจอร์ลิสซึม (Futurism) ที่ใช้เส้นและแสงและโครงสรร้างที่ให้ความรู้สึกแบบล้ำสมัย  , มาเลวิช   มีผลงานคิวโบฟิวเจอร์ลิซึ่มอย่างภาพ The Woodcutter, The Knife Grinder
1913 มาเลวิช เข้าไปช่วยจัดการแสดงโอเปร่าเรื่อง Victory over the Sun ซึ่งเขามีส่วนในการออกแบบเวที ที่โรงละครลูน่าปาร์ค (Luna Park Theatre) ในเปโตรกราดในเดือนธันวาคม ซึ่งผ้าม่านของเวที เขาวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของศิลปะสุพรีมาติซึ่ม (Suprematism) และภาพ Black Square ภาพแรกโดยมาเลวิช 
1914 เขาจัดงานแสดงศิลปะของตัวเองในปารีส ภายในอาคารชื่อ Salon des Independents 
1915 From Cubism to Suprematism ผลงานเขียนแสดงเจตจำนงค์ของเขาซึ่งถือเป็นการวางรากฐานของสุพรีมาติซึ่ม โดยหน้าปกเป็นรูป Black Square
ธันวาคม, ภาพ The Black Square on White ถูกจัดแสดงครั้งแรกในแกลเลอรี่ดอบี้ไชน่า (Dorychina gallery, St.Peterburg) ในเปโตรกราด โดยชื่อนิทรรศกาลว่า “The Last Exhibition of Futurist 0.10”  โดยศูนย์แสดงถึงจุดจบและการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และสิบเป็นจำนวนศิลปินที่ร่วมแสดงผลงาน
1916 Suprematist Composition ผลงานของมาเลวิช ถูกวาดขึ้น มันเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดของศิลปินจากรัสเซีย ถูกประมูลครั้งสุดท้ายในปี 2008 ด้วยราคา 60 ล้านเหรียญ 
1917 ช่วงการปฏิวัติในรัสเซีย มาเลวิชเข้าทำงานเป็นคณะกรรมการเพื่อปกป้องศิลปะล้ำค่าของชาติ  (Commissar for the protection of artistic treasures) 
1919 ย้ายมาที่วิเต็ปสก์ (Vitebsk) เป็นอาจารย์สอนศิลปะที่ Vitebsk Practical Art School เดิมเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Museum of Modern Art of Marc Chagall  ที่ก่อตั้งโดยมาเลวิชและเพื่อนของเขา มาร์ค ชาแกล (Marc Chagall) 
ช่วงเวลานี้เขาจึงได้ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่ม UNOVIS (The Champions of the New Art) กลุ่มของนักเรียนและอาจารย์ด้านศิลปะที่มีอิทธิพลอยู่ในช่วงสั้นๆ ในการพยายามสร้างศิลปะแนวใหม่ในทุกแขนงของวิชา ทั้งงานป้ันและในงานสถาปัตยกรรม 
1922 บ้ายมาสอนที่ Leningrad Academy of Arts 
1925 ภรรยาคนที่สองของเขาเสียชีวิต และแต่งงานใหม่กับ Natalia Andreyevna Mantschenko 
1926 ย้ายมาทำงานที่ State Institute of Art History ชานมอสโคว์
1927 ในปีนี้เขาเดินทางไปโปแลนด์และเยอรมัน แต่ว่าก่อนเดินทางกลับรัสเซียเขาทิ้งงานศิลปะส่วนใหญ่ไว้ที่เยอรมัน เพราะกลัวว่ารัฐบาลรัสเซียจะทำลายผลงานของเขา ซึ่งความคิดของเขาถูกต้อง เมื่อในยุคของสตาลิน ผลงานของมาเลวิชส่วนใหญ่ถูกยึดไป
ตอนอยู่ในเยอรมันเขามีงานเขียน The World as Non-Objectivity  พิมพ์อยู่ในตอนหนึ่งของหนังสือ Bauhaus เล่มที่ 11 ซึ่งเขาอธิบายแนวคิดของสุพรีมาติซึ่ม ว่า “ส่ิงที่สำคัญที่สุดของสุพรีมาติซึ่ม คือความรู้สึกล้วนๆ ในการสร้างศิลปะ , สุพรีมาติซึ่มบอกว่าโลกแห่งวัตถุเป็นแค่ภาพเสมือน แต่ไม่มีความหมายในตัวมัน 
1929 มาสอนที่ Kiev State Art Institute
1930 ถูกจับเป็นเวลาสองอาทิตย์ ในข้อกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้เยอรมัน  ก่อนได้รับการปล่อยตัว
1932 มาทำงานกับพิพิธภัณฑ์รัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Russia Museum) ซึ่งเป็นที่ทำงานสุดท้ายจนเสียชีวิต 
1935 15 พฤษภาคม เสียชีวตในเลนินกราด ด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก…. อัษฐิของเขาถูกนำกลบมาฝังในสุสานภายในบ้านของเขาที่หมู่บ้านเนมชินอฟก้า (Nemchinovka village) มอสโคว์ โดยที่บนสุสานมีหินรูปลูกบาศก์สีดำตั้งอยู่ แต่ว่าสุสานปัจจุบันไม่มีอยู่แล้วเนื่องจากถูกทำลายในช่วงสงครามโลก
Don`t copy text!