Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Marquis de Sade

มาร์กิส เดอ ซาดี (Marquis de Sade)

เดอ ซาดี เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1740 ในโรงแรมเดอ คอนเด่​(Hotel de Conde) กรุงปารีส  พ่อของเขาคือเคานต์ ฌอง โจเซฟ (Jean Baptiste François Joseph Count de Sade , Marquis of Mazan) และแม่ชื่อมาเรียน (Marie Eleonore de Maille de Carman) เป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแห่งคอนเด (Princess of Conde) พ่อของเขายังเป็นนักการทูตทำงานให้กับเจ้าชายแห่งโคโลญน์ (Prince of Cologne)

1745 เดอ ซาดีไปอาศัยอยู่กับลุงในโปรว๊องส์ (Provence) และเริ่มเรียนหนังสือโดยที่ลุงของเขาเป็นคนสอน 

1750 เข้าเรียนหนังสือที่วิทยาลัยเจซูต (Jusuit college of Grand Louis) ในปารีส 

1754 เข้าเรียนในโรงเรียนทหารม้า (Ecole des Chevaux-legers) ซึ่งมีต่อมาเข้าได้ยศชั้นร้อยโทและบรรจุเข้าทำงานในกองทัพ

1757 ร่วมรบในสงครามเจ็ดปี  (Seven Years War) 

1763 หลังจากสงครามยุติ เขากลับไปอยู่ที่ปราสาทลาคอสเต่ (Château de Lacoste) และต่อมาเขาได้พบรักกับลอริส (Laure de Lauris) แต่ว่าพ่อของเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ทั้งคู่แต่งงานกัน เดอ ซาดี จึงได้แต่งงานกับเรเน่อ-เพลาจี (Rene-Pelagie de Montreuil

ตุลาคม, เขาถูกปลดจากราชการ เพราะข้อหาว่าซื้อประเวณีและมีพฤติกรรมทางเพศผิดปกติ ลบหลู่ศาสนา ซาดีถูกจับขังในคุกในปราสาทวินเซนต์ (Vincennes castle) เป็นเวลาสิบหาวันด้วย ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวเพราะการวิ่งเต้นของพ่อของเขา  แต่ว่าทางการยังส่งคนมาติดตามดูพฤติกรรมของเขา

1766 เขาสร้างโรงละครเอาไว้ในปราสาทลาคอสเต่

1767 มกราคม, พ่อของเขาเสียชีวิต ซาดีจึงได้รับตำแหน่งเคานต์

1768 Scandal of Arcueil , ซาดี ถูกกว่าหาว่ามีความสัมพันธ์ผิดปกติกับหญิงบริการ โรส เคลเลอร์ (Rose Keller) โดยที่นำตัวเธอไปกักขังภายในปราสาทอาร์คูอิล (chateau de Arcueil) มีการกักขังหนวงเหนี่ยวและทรมานเธอด้วย ต่อมาเมื่อโรสหนีออกมาได้จึงได้เข้าร้องเรียนต่อทางการ แต่ว่าต่อมาโรสได้ถอนคดีความออกไปเพราะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง แต่พระเจ้าหลุยส์ ก็ยังสั่งให้ลงโทษซาดี ตามกฏหมาย lettre de cachet ที่ถือว่ามีการละเมิดกระบวนการยุติธรรม ซาดีถูกจับขังคุกจนกระทั้งช่วงปลายปีจึงได้รับการปล่อยตัว

1771 มีความสัมพันธ์กับแอนเน่ (Anne-Prospere de Launay) น้องสะใภ้ของเขา

1772 Marseille affair, เขาถูกกล่าวหาว่าวางยาหญิงขายบริการแล้วมีเพศสัมพันธ์แบบผิดปกติกับพวกเธอ ซาดีถูกตัดสินประหารชีวิต ซาดีจึงหลบหนีคดีไปยังอิตาลีโดยที่พาน้องสะใภ้ไปกับเขาด้วย

1773 เขาถูกกดดันให้ออกจากอิตาลี เขาจึงเดินทางอีกครั้งและระหว่างนี้ได้เขียนหนังสือ Voyage d’Italie ออกมา

1776 กลับมาอยู่ที่ปราสาทลาคอสเต้ โดยที่เขาได้ว่าจ้างคนใช้สาวไว้หลายคน แต่ว่าต่อมาคนใช้ส่วนใหญ่พากันหนีไม่ก็ลาออก

1777 พ่อของแคทเธอรีน ทริลเล็ต (Catherine Trillet) ที่เคยทำงานเป็นคนใช้ให้กับซาดี ได้ใช้ปืนยิงซาดี เพราะโกรธแค้นที่ลูกสาวถูกทรมาน แต่ว่ากระสุนพลาดเป้า

กุมภาพันธ์, ซาดีถูกหลอกว่าแม่ของเขาป่วยหนัก จึงได้เดินทางกลับมาปารีส แต่ว่าความจริงแม่ของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว ซาดีถูกจับตัวและนำไปขังที่ปราสาทวินเซนเนส (Chateau de Vincennes) 

1778 เขาต่อสู้ให้มีการลดโทษประหารชีวิตได้สำเร็จ แต่ว่าเขายังถูกลงโทษจำคุกอยู่  เขาพยายามหลบหนีแต่ว่าถูกจับตัวกลับมาได้ 

1784 ถูกย้ายมาขังที่คุกบัสติลล์ (Bastille)  ระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่นี้เองที่เขาได้สร้างผลงานเรื่อง The 120 Days of Sodom ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นผลงานเอกของเขา

1789 2 กรกฏาคม, ซาดีได้ร้องตะโกนออกมาจากคุกบัสติลล์ว่า “พวกมันกำลังฆ่านักโทษอยู่” ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังมีการจราจลและความวุ่นวายในปารีส และวันที่ 14 กรกฏาคม เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) ช่วงที่ประชาชนบุกเข้ามาในคุกบัสติลล์นั้นวุ่นวายมากจนกระทั้ง เดอ ซาดี เองเชื่อว่าต้นฉบับ “The 120 Days of Sodom”, “Justine” ของเขาได้สูญหายไปหรือถูกทำลายจนตัวเขาถึงกับร้องไห้ 

ภายหลังต้นฉบับถูกพบอยู่ในเพดานห้องขังที่เดอ ซาดีอยู่ และ The 120 Days of Sodom ถูกพิมพ์ครั้งแรกในปี 1904 โดยอีวาน บล๊อช (Iwan Bloch)

1790 ได้รับการปล่อยตัว หลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นมาใหม่ มีการยกเลิกกฏหมาย lettre de cachet  แต่ว่าปราสาทลาคอสของเขาได้ถูกบุกทำลายในช่วงที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสไปแล้ว เขาจึงได้ย้ายไปอยู่ในปารีส

หลังจากออกจากเรือนจำไม่นานเขาก็เร่ิมพิมพ์ผลงานที่เขาเขียนไว้หลายเรื่องออกมา โดยที่ใช้นามปากกาเป็นส่วนใหญ่ 

เดอ ซาดี หย่ากับภรรยา และพบรักใหม่กับมาเรียน เคสเน็ต (Marie-Constance Quesnet) อดีตนักแสดงที่ถูกสามีเก่าทิ้ง

เดอ ซาดีได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา National Convention โดยที่เขาสนับสนุนอุดมการณ์ของพวกฝ่ายซ้าอย และเป็นสมาชิกกลุ่ม Piques section ในสภา 

เขายังเป็นที่ปรึกษาให้กับพล.โท Marquis de Toulengeon 

1793 หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการปกครองภายใต้กลุ่มจาโคบินที่โหดเหี้ยม จนถูกกล่าวกันว่าเป็นยุคสมัยแห่งความชั่วร้าย (Reign of Terror, 1793-1794) เดอ ซาดีเองพยายามหันไปสนับสนุน ฌอน-พอล มารัต (Jean-Paul marat) เพื่อเอาตัวรอด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกเล่นงานอยู่ดี และเขาก็ถูกจับขังคุกโดยมีโทษประหาร

1794 ได้รับการปล่อยตัว หลังการโค่นอำนาจกลุ่มจาโคบิน และมีการประหารชีวิตแม็กซิมิเลียน โรบ์สปิแอร์ (Maximilien Robespierre) ผู้นำกลุ่มจาโคบิน

1795 พิมพ์ผลงานเรื่อง Philosophy in the Boudoir

1801 นโปเลียน (Napoleon Bonaparte) ได้สั่งให้มีการจับกุมตัวผู้เขียน Justine และ Juliette ซึ่งก็คือ ซาดี เขาถูกลงโทษจำคุกในเรือนจำเซนเต่เพลาเกีย (Sainte-Pelagie) โดยที่ไม่มีการพิจารณาคดีความเลย

1803 เขาได้รับการช่วยเหลือวิ่งเต้นจากครอบครัว จนในที่สุดมีการประกาศว่าซาดีเป็นคนป่วยโรคจิต และได้รับการปล่อยตัว 

1810 มีความสัมพันธ์กับมาเดลีน เลคเลิร์ค (Madeleine Lellerc) เด็กหญิงวัยเพียง 13 ปี 

1813 มีผลงานเรื่อง Histoire secrete d’isabelle de Bavière โดยใช้นามปากกา La Marquise de Grange

1814 2 ธันวาคม,ซาดีเสียชีวิตในวัย 74 ปี ผลงานเขียนหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาถูกลูกชายทำลายทิ้งไป

ริชาร์ด กราฟฟ์-เอ็บบิ้ง (Richard von Krafft-Ebing) จิตแพทย์ชาวเยอรมัน เป็นคนที่เริ่มใช้คำว่า “ซาดิสต์ (Sadism)” ครั้งแรกในหนังสือ Psychopathia Sexualis (1866)

Don`t copy text!