Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Alfried Krupp von Bohlen und Halbach

อัลเฟรด ครัปป์ (Alfried Krupp von Bohlen and Halbach)

อัลเฟรด เกิดวันที่ 13 สิงหาคม 1907 ในเอซเซ่น พ่อของเขาชื่อกุสตาฟ (Gustav von Bohlen und Halbach) และแม่ชือเบอร์ธ่า (Bertha Krupp)  เบอร์ธาเป็นผู้ที่รับช่วงกิจการของ Fridrich Krupp AG มาจากพ่อของเธอ ไฟรดริช ครัปป์ (Friedrich Krupp) ตั้งแต่เธออายุ 16 ปี เพราะพ่อของเธอฆ่าตัวตาย ในปี 1906 หลังถูกสื่อเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของเขาว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ 

Friedrich Krupp AG เป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเยอรมัน ก่อตั้งในปี 1881 ในธุรกิจเหล็ก ต่อมาได้ ขยายกิจการมาเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งการผลิตรถยนต์, รถจักร,เรือ และอาวุธ จนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

หลังการแต่งงานของกุสตาฟกับเบอร์ธา กุสตาฟได้รับพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์วิลเฮล์ม ที่ 2 (Kaiser Wihelm II) ในการใช้นามสกุล Krupp ได้ 

อัลเฟรดเป็นลูกคนโต  โดยมีพี่น้องอีก 7 คน

1928 อัลเฟรดจบจากจิมเนเซียมในเมือง (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนเกอเธ่ (Goethe School)) และได้เข้าเรียนด้านวัสดุศาสตร์เกี่ยวกับเหล็กที่ในมหาวิทยาลัยเทคนิคเบอร์ลิน, มิวนิค และอาเช่น (Aachen)

1930 ยาลมาร์ แช๊ชต์ (Hjalmar Schacht) ได้ชักชวนให้กุสตาฟและอัลเฟรด สนับสนุนพรรคนาซีของฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) โดยบอกว่าพรรคนาซี จะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและจะผลิตอาวุธมากขึ้น 

1933 อัลเฟรด เข้าเป็นสมาชิกหน่วย SS(Schutzstaffel) บริษัท Krupp AG. เริ่มผลิตรถถัง ในขณะที่ผลิตเรือดำน้ำในฮอลแลนด์ และผลิตอาวุธอื่นๆ ในสวีเดน 

กุสตาฟ พ่อของอัลเฟรด ได้รับแต่งตั้งจากฮิตเลอร์ให้เป็นประธานของ Adolf Hitler Fund of German Trade and Industry  ซึ่งเป็นเหมือนมูลนิธีที่เรี่ยรายเงินบริจากจากอุตสาหกรรมต่างๆ มาให้กับพรรคนาซี 

1934 ได้รับปริญญาด้านวิศวกรรม (Diplomingenieur) จาก RWTH (rwth-aachen.de) โดยทำวิทยานิพนธ์เกียวกับการหลอมเหล็กในสภาวะสูญญากาศ 

หลังจากนั้นเข้าทำงานที่ธนาคารเดรสเนอร์ (Dresdner Bank) ในเบอร์ลิน 

1936 ได้กลับมาทำงานให้กับ Friedrich Krupp AG กิจการของครอบครัว ขณะเดียวกันก็ได้เป็นผู้ช่วยในกรมผลิตอาวุธและปืนใหญ่ (Department for arms production and artillery construction)

อัลเฟรดเป็นผู้ชื่นชอบกีฬาเรือใบ เขาได้รับเหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นในเบอร์ลิน จากการแข่งเรือใบ ประเภทขนาดไม่เกิน 8 เมตร 

1937 แต่งงานกับ แอนเนลีส (Anneliese Lampert (nee Bahr), 1909-1998)) ซึ่งพวกเขามีลูกด้วยกันคนหนึ่งชื่อ อาร์นต์ (Arndt von Bohlen und Halbach ,1938-1986)

1938 1 ตุลาคม, ได้นั่งตำแหน่งกรรมการบริหารของ Friedrich Kuupp AG. ซึ่งเป็นการวางตัวทายาทที่จะมารับช่วงกิจการบริษัทต่อ และไม่นานอัลเฟรดก็ได้รับเชิญให้ไปนั่งเป็นกรรมการในอีกหลายบริษัทในหลายๆ อุตสาหกรรม  

เข้าเป็นสมาชิกของ National Socialist Flyers Corups (NSDAP)

1941 อัลเฟรด เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมถ่านหิน (the Imperial Coal Association) 

มีนาคม, ได้เป็นบอร์ดบริหาร (Verstand, German corporate governance) หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำกับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ

หย่าก้บภรรยา 

ช่วงสงคราม บริษัทมีความสำคัญกับเยอรมันเป็นอยางมาก เพราะทำหน้าที่ในการผลิตเหล็กและอาวุธหนักหลายอย่าง อาทิ Big Bertha ปืนใหญ่ขนาด 420 มม. , Dora rail gun ปืนขนาดใหญ่ 80 ซม. ที่วิงบนรางรถไฟ

นอกจากนั้นอัลเฟรด ยังเป็นผู้ให้การสนับสนุนโบส (Subhash Chandra Bose) ผู้นำกองกำลังอินเดีย 

1942 ได้รับตำแหน่งรองประธานของสมาคมเหล็ก (the Imprial Iron Association)

1943 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจสภาวะสงคราม (Minister of the War Economy)

อัลเฟรด ได้รับพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์วิลเลียม ที่ 2 (William II) ให้ใช้ชื่อสกุลเป็น Krupp von Dohlen und Halbach ได้

ปีนี้อัลเฟรดได้สืบทอดกิจการและเข้ามาบริหารบริษัทอย่าเงต็มตัว ซึ่งในช่วงสงครามโลก Krupp AG ได้เข้าไปสร้างโรงงานหลายแห่งในประเทศที่เยอรมันยึดครอง และมีการบังคับใช้แรงงานนักโทษกว่า 100,000 คน ซึ่งรวมถึงนักโทษในค่ายออสวิตซ์ (Auschwitz) ซึ่งประมาณว่ามีผู้ต้องสังเวยชีวิตกว่า 70,000 คนให้กับ Krupp AG

1945 11เมษายน, อัลเฟรด ถูกจับตัวได้โดยกองทหารแคนาดา (Canadian Army)

1948 ถูกนำตัวขึ้นพิพากษาในคดีนูเร็มเบิร์ก (Nuremberg Trial) และถูกตัดสินว่ามีความผิดในฐานะอาชญากรต่อมนุษยชาติ ที่มีส่วนในการบังคับใข้แรงงานเชลยสงครามอย่างทารุณ อัลเฟรดถูกตัดสินยึดทรัพย์และลงโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ซึ่งขณะนั้นอัลเฟรด เป็น 1 ใน 9 ของคณะผู้บริหาร Friedrich Krupp AG 

ส่วนพ่อของเขาที่เป็นผู้นำบริษัท ถูกมองว่าแก่เกินไปจะนำตัวมาดำเนินคดี 

1950 เกิดสงครามเกาหลี (Korean War) 

1951 มกราคม, จอห์น แม็คคลอย (John J. McCloy) กรรมาธิการทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งบริหารเขตยึดครองเยอรมัน (occupied Germany) ได้สั่งปล่อยตัวอัลเฟรด เพราะเชื่อว่าสหรัฐฯ มีความต้องการใช้เหล็ก เพื่อนำไปผลิตอาวุธเพื่อใช้ในสงครามเกาหลี ทั้งนี้แม็คคลอยยังได้สั่งปล่อยตัวนักโทษที่เป็นเจ้าของอุตสาหกรรมหนักของเยอรมันอีกหลายคน อาทิ Fritz Ter Meer ผู้บริหาร I. G. Farben บริษัทที่ผลิตก๊าซพิษ Zyklon B

1952 แต่งงานเวรา (Vera Knauer (nee Hossenfeld), 1909-1967)

1953 อัลเฟรดกลับมาทำงานในบริษัท แม้ว่ากิจการส่วนใหญ่จะยังคงอยู๋ภายใต้การควบคุมของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะกิจการเหล็กและถ่านหินที่ถูกสั่งให้ลดขนาดกิจการลง งานของอัลเฟรดคือการพยายามฟื้นฟูกิจการในส่วนที่เหลือ อย่างโรงงานผลิตรถไฟ โรงงานทำมอเตอร์

อัลเฟรด ได้แต่งตั้งเบอร์โธล์ด (Berthold Beitz) ให้เป็นตัวแทนเขาออกไปเจรจาการค้าในต่างประเทศ

1957 หย่ากับภรรยา

1960 เปิดโรงงานหล่อเครื่องยนต์ในบราซิล 

1965 อัลเฟรดรวมมกิจการเหล็กและถ่านหินที่ยังเหลืออยู่ เข้าเป็นบริษัท Bochumer Verein für Gußstahlfabrikation AG

1966 บริจาคส่วนของห้องสมุดของ Villa Hügel ให้กับมหาวิทยาลัยโบชุม (Bochum university)  

1967 ช่วงต้นปี อัลเฟรดได้เปลี่ยนแปลงบริษัทให้อยู่ในรูปแบบหุ้นส่วน และได้โอนหุ้นให้กับ Alfried Krupp von Bohlen und Halbach Foundation มูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไร เพราะอาร์นต์ ลูกชายของเขาปฏิเสธที่จะรับมรดก แต่ว่าได้รับเงินตอบแทนปีละราว 900,000 ดอลล่าห์

ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของเยอรมันที่ก่อสร้างโดย Krupp แล้วเสร็จ

30 กรกฏาคม, อัลเฟรด เสียขีวิต

1968 มูลนิธิได้นำบริษัทไปจดทะเบียนเป็น Friedrich Krupp GmbH

1999 Friedrich Krupp GmbH ถูกรวมกิจการเข้ากับ Thyssen กลายเปน ThyssenKrupp AG. 

Don`t copy text!