Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Virginia Hall

เวอร์จิเนีย ฮอล์ล (Virginia Hall Goilliot)

สายลับอเมริกัน OSS ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2

เวอร์จิเนีย เกิดวันที่ 6 เมษายน 1906 ในบัลติมอร์, แมรี่แลนด์ ครอบครัวของเธอมีฐานะร่ำรวย พ่อของเธอชื่อเอ็ดวิน (Edwin Lee Hall) เป็นนายธนาคารและมีธุรกิจโรงภาพยนต์ และแม่ชื่อบาร์บาร่า (Barbara Virginia Hammel) 

1924 จบจากโรงเรียนโรแลนด์ ปาร์ก (Roland Park Country School) หลังจากนั้นเข้าเรียนที่แรดคลิฟฟ์ คอลเลจ (Radcliffe College, ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของฮาร์วาร์ด) ระหว่างที่เรียนนั้นเธอเป็นหัวหน้าชั้น และทำหนังสือพิมพ์ของดรงเรียน ทั้งยังเป็นนักกีฬาฮ๊อกกี้ 

1925 ย้ายมาเรียนที่บาร์นาร์ด คอลเลจ (Barnard College ) ในแมนฮัตตัน ทางด้านภาษาฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมัน นอกจากนั้นเธอยังพอเข้าในภาษารัสเซ๊ยด้วย

แต่เวอร์จิเนียไม่ได้เรียนจบจากบาร์นาร์ด คอลเลจ เพราะว่าเธอปฏิเสธที่จะเข้าสอบในเทอมสุดท้าย

1926 เข้าเรียนที่  Ecole Libre des sciences Politiques ในฝรั่งเศส

1927 ย้ายมาเรียนที่ Konsular Akademic ในเวียนนาทางด้านภาษาฝรั่งเศสและเศรษฐศาสตร์ 

1929 กรกฏาคม,​กลับมาอยู่บ้านที่แมรี่แลนด์  ไม่นานก่อนที่ทางบ้านของเธอจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อตลาดหุ้นวอล์สตรีทตกลงอย่างหนัก (Wall Street crash 1929) ซึ่งทำให้ธุรกิจด้านการเงินของครอบครัวประสบปัญหา ซึ่งเมื่อเจอกับวิกฤตพวกเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในฟาร์ม Boxhorn Farm เพื่อลดค่าใช้จ่าย 

เวอร์จิเนียได้รับปริญญาด้านภาษาฝรั่งเศสและเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน (George Washington University)

1931 เวอร์จิเนียได้งานที่สถานกงศุลสหรัฐ ประจำวอร์ซอว์​ ทำให้เธอออกออกเดินทางไปยุโรปอีกครั้ง 

เจ็ดเดือนถัดมา วอร์จิเนียถูกส่งไปทำงานที่สถานทูต ในอิซมีร์, ตุรกี (Izmir, Turkey) 

1933 ระหว่างอยู่ในตุรกี เวอร์จิเนีย ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างออกไปล่านกกาลลินาโก (gallinago) เมื่อกระสุนพลาดยิงเข้าที่ขาของตัวเธอเอง จนทำให้ต้องตัดขาซ้ายของเธอตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงไป และได้ใส่ขาเทียมที่ทำขึ้นจากไม้ ทำให้เธอถูกเรียกว่า “Cutebert

หลังจากอุบัติเหตุ เธอกลับมาทำงานเป็นเสมียรอยู่ในสถานกงศุฃในเวนิส , ทาลลิน (Tallinn, Estornia) 

เวอร์จิเนีย มีความฝันที่จะเป็นนักการทูต เธอเคยส่งใบสมัครไปที่กระทรวงต่างประเทศ ( United States Foreign Service) หลายครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะว่าเขาต้องการคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ทีเท่านั้น อีกทั้งเธอยังเป็นผู้หญิง ซึ่งมักจะไม่ได้ถูกจ้างให้ทำงานประเภทนี้ เธอเขียนจดหมายร้องเรียนไปที่คอรเดลล์ ฮุลล์ (Cordell Hull) รมต. ต่างประเทศขณะนั้น แต่เขาก็ปฏิเสธเธอเช่นกัน โดยบอกว่าเธอควรพอใจกับงานที่ทำอยู่ในกงสุลขณะนี้

1939 มีนาคม, เวอร์จิเนียลาออกจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ  และกลับไปอยู่ในฟาร์มของครอบครัวที่แมรี่แลนด์

1940 ช่วงต้นปีเวอร์จิเนียเริ่มทำงานเป็นคนขับรถพยาบาลฉุกเฉินให้กับกองทัพฝรั่งเศส แต่จนกระทั้งเดือนมิถุนายนเมื่อนาซีเยอรมันบุกฝรั่งเศส เธอจึงได้หนีไปยังเสปน ซึ่งระหว่างทางเธอได้พบกับเจ้าหน้าที่อังกฤษชื่อ จอร์จ เบลโลว์ (George Bellows) ซึ่งได้แนะให้เวอร์จิเนียโทรติดต่อไปยังเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งคือ นิโคลัส โบดิงตัน (Nicolas Bodington) ซึ่งจะช่วยให้เธอได้เข้าทำงานเป็นสายลับให้อังกฤษได้ ซึ่งขณะนั้นโบดิงตันได้ทำงานกับ SOE (British Special Operations Executive) หน่วยข่างกรองที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นมาใหม่ 

1941 เมษายน,  เวอร์จิเนีย ได้ถูกรับเข้าทำงานที่หน่วย SOE  โดยเธอถูกฝึกให้ใช้งานอาวุธ, อุปกรณ์สื่อสาร และเครื่องมือต่างๆ ของสายลับ ก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับมาฝรั่งเศสเพื่อปฏิบัตงาน โดยที่เวอร์จิเนียได้มีอาชีพบังหน้าเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์คโพสต์ (New York Post)  มีชื่อรหัสว่า Geologist-5  เธอเข้าไปทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ที่ Haute Loire Department ใกล้กับเมืองตูลูสซ์ (Toulouse) และลีอง (Lyon)  

เวอร์จิเนียเป็นสายลับผู้หญิง 1 ใน 41 คนที่ SOE ส่งมาฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลก ซึ่งมีเพียง 26 คนที่รอดชีวิตมาได้ โดยเวอร์จิเนียเป็นสายลับรุ่นบุกเบิก ที่ต้องเรียนรู้งานหลายอย่างด้วยตัวเอง งานของเวอร์จิเนีย เป็นการหาข่าวเกี่ยวกับการเมือง, เศรษฐกิจและอารมณ์ของประชาชนให้กับ  SOE แต่ว่าเวอร์จิเนียทำงานมากกว่านั้น คือ เธอคอยจัดหาสายลับ, สนับสนุนด้านอาวุธและเวชภัณฑ์ ,การหาแหล่งข่าว, การเรียนรู้ว่าจะติดสินบนคนๆ ไหนได้หรือไม่ได้ และการหาแหล่งกบดาน 

หนึ่งในสายลับที่เวอร์จิเนีย หามาคือ ซูซานเน่ (Suzanne Bertillon) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ของรัฐบาลฝรั่งเศส  และเครือข่ายของเวอร์จิเนียประกอบไปด้วยสายลับกว่า 90 คน โดยเครือข่ายของเธอ มีชื่อว่า Hecler/Saint

เคลาส์ บาร์บิค (Klaus Barbic) เจ้าหน้าตำรวจเกสตาโป (Gestapo) ในฝรั่งเศส เรียกเวอร์จิเนียว่า “ The Limping Lady”  บาร์บิคนั้นไม่รู้จักตัวจริงของเวอร์จิเนีย  แต่ว่ามักจะได้รับรายงานความเคลื่อนไหวของเธอ และมีการออกประกาศค่าหัวเธอเอาไว้ด้วย 

ตุลาคม, เวอร์จิเนียมีสัณชาติญาณว่าจะมีอันตราย เธอถึงไม่ไปพบกันสายลับ SOE ซึ่งได้นัดพบกันที่มาร์แซลล์ (Marseille) ซึ่งปรากฏข่าวภายหลังว่าตำรวจฝรั่งเศสได้บุกจับสายลับที่ไปไปรวมตัวกัน 

1942 หลบหนีออกจากฝรั่งเศส โดยนั่งรถยนต์ไปลงที่เมือง Ville-franche-de-Conflent ก่อนที่จะเดินด้วยเท้าข้ามเทือกเขา Pic de La Donya เพื่อข้ามไปยังสเปน  ก่อนที่จะถูกจับระหว่างจะขึ้นรถไฟไปยังบาเซโลน่าเพราะลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย เธอถูกขังในคุกเป็นเวลาหกเดือน ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตสหรัฐฯ และได้เดินทางไปอังกฤษ

หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับหน่วย OSS (Office of Strategic Services) หน่วยงานสายลับของสหรัฐฯ ก่อนที่จะก่อตั้ง CIA

1944 กลับเข้ามาในฝรั่งเศส  โดยกลับไปอยู่ที่ Haute Loire และคอยทำหน้าที่จัดหาฝ่ายต่อต้านนาซี คอยก่อกวน วางระเบิด เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ D-Day ของฝ่ายสัมพันธมิตร

1950 เวอร์จิเนีย แต่งงานกับพอล (Paul Goillot) หนึ่งในเจ้าหน้าที่ OSS เชื้อสายฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคนหนึ่งในเครือข่ายของเวอร์จิเนียที่ปฏิบัติการร่วมกันในช่วงสงครามโลก

1951 3 ธันวาคม, ข้อมูลทางการบอกว่าเธอเริ่มเข้าทำงานกับ CIA 

1966 เกษียณ จาก CIA ในวัย 60 ปี

เวอร์จิเนีย ไม่ได้ทิ้งบันทึกความทรงจำเอาไว้ และไม่เคยให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อ เธอใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบและเป็นส่วนตัวมาก แต่ว่าเธอเคยได้รับเหรียญ Distinguished Service Cross จากหน่วย OSS มอบโดยนายพลวิลเลี่ยม โดโนแวน (William Donovan) ผู้อำนวยการของ OSS

1982 8 กรฏาคม, เสียชีวิตในแมรีแลนด์

Don`t copy text!