Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Hans Kammler

ฮานส์ แคมม์เลอร์ (Hans Kammler)

วิศวกร ผู้นำระดับสูงของหน่วย SS Obergruppenfuehrer เขารับผิดชอบการก่อสร้างโครงการนสำคัญหลายอย่างของนาซีเยอรมัน อย่าง การสร้างค่ายอ๊อชวิตซ์ (Auschwitz concentratrion camp) , ศูนย์วิจัยจรวด V-2

แคมม์เลอร์ เกิดวันที่ 26 สิงหาคม 1901 ในสเตตติน, จักรวรรดิเยอรมัน (Stettin, German Empire) ปัจจุบันคือเมืองชเซซิน ในโปแลนด์ (Szczecin, Poland) พ่อของเขาชื่อฟรานซ์ (Franz Kammler) เป็นทหารในกองทัพเยอรมัน 

1908 ระหว่างปี 1908-1919 เขาเข้าเรียนในโรงเรียนในเมืองบึดกอสซ์ (Bydgoszcz), อูล์ม (Ulm) และที่เมืองแดนซิก (Danzig)

1919 กุมภาพันธ์, สมัครเข้าเป็นทหารในกำลังทหารอาสา (Rossbach Freikrops) ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลบริเวณพรหมแดน

ช่วงปลายปีหลังจากเขาออกจากกองกำลังทหารอาสา เขาได้สมัครเข้าเรียนวิศวกรรมโยธาที่มหาวิทยาลัยเทคนิคแดนซิก (Technische Hochschule der Freien Statdt Danzig, ปัจจุบันคือ Gdansk University of Technology) ไปด้วย 

1923 สำเร็จการศึกษา หลังจากนั้นได้เข้าฝึกงานกับรัฐบาลโดยได้ดูแลงานในการก่อสร้างตลาด

1924 เขาได้รับหน้าที่ในการควบคุมการก่อสร้างโครงบ้านพักอาศัยขนาดใหญ่ของรัฐในเมืองเซห์เลดอร์ฟ (Zehlendorf)  ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ทำงานควบคุมการก่อสร้างโครงการอีกหลายแห่งตามนโยบายชองรัฐ

1930 14 มิถุนายนฐ แต่งงานกับจุตต้า (Jutta Horn) ซึ่งต่อมาพวกเขามีลูกด้วยกันหลายคน หนึ่งในนั้นคือ จอร์ก (Jörg Kammler) ซึ่งภายหลังเป็นศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ 

1932 มีนาคม, เข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซี (NSDAP) หมายเลขสมาชิก 1.011.855

พฤศจิกายน, จบปริญญาเอกด้านวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคนิคแฮนโนเวอร์ (University of Hannover)

1933 20 พฤษภาคม, เข้าเป็นสมาชิกของหน่วย SS

แคมม์เลอร์ได้เข้าทำงานในกระทรวงอาหารและเกษตรเยอรมัน (Reich Ministry of Fod and Agriculture) 

1934 ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงจัดสรรที่ดินและอาคารสงเคราะห์ (Reich’s federation of allotment gardeners and small home owners)

1941 เข้าร่วมกับหน่วย Waffen-SS

เข้ามาทำงานกับ WVHA  (SS Main Economic and Administrative Office) โดยเป็นผู้ช่วยของออสวาร์ด โพห์ล (Oswald Pohl) หน่วย WVHA นี้เป็นหน่วยงานของพรรคนาซึ ซึ่งมีความรับผิดชอบหลักคือการบริหารงบประมาณ และดูแลโครงการธุรกิจต่างๆ แคมม์เลอร์ถูกส่งไปทำงานร่วมกบ ริชาร์ด กล็อค (Richard Glücks) ที่ Office D ซึ่งเป็นแผนกของ WVHA ที่รับผิดชอบการดูแลการออกแบบและก่อสร้างค่ายกักกัน (Concentration Camps) 

แคมม์เลอร์นั้นถูกเรียกว่าเป็นหัวหน้าของ Office C เพราะว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบบในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างของค่ายกักกัน ซึ่งแคมม์เลอร์ยังเป็นผู้ที่สั่งให้มีการสร้างค่ายออสวิตซ์ (Auschwitz camps) ขึ้นมาด้วย 

1943 สิงหาคม ที่ศูนย์วิจัยของนาซีที่พีเนมุนเด่ (Peenemunde) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยลับที่นาซีเยอรมันใช้พัฒนาจรวด A4 (ภายหลังถูกเรียกว่าจรวด V-2) ถูกโจมตีจากกองทัพอังกฤษ  นาซีเยอรมันจึงต้องมองหาที่ซ่อนใหม่ในการพัฒนาและเก็บจรวด V-2 ทำให้เคมม์เลอร์ได้เข้ามารับผิดชอบการก่อสร้างศูนย์วิจัยใหม่ที่มิตเตลเวิร์ก (Mittelwerke) ซึ่งซ่อนอยู๋ใต้ดินใต้ภูเขาโคห์นสไตน์ (Kohbnstein Mountain)  มีการเกณฑ์เอาเชลยในค่ายกักกันจำนวนมากมาใช้ในการก่อสร้าง และผลิตอาวุธที่มิตเตลเวิร์กนี้ โดยที่เคมม์เลอร์นั้นมีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมและทารุณต่อเชลยมา เขายังเป็นเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลการผลิตเครื่องบิน Me-262 และจรวด V-2 ที่มิเตลเวิร์กนี้ด้วย 

1944 แคมม์เลอร์ ใช้แรงงานจากนักโทษในค่ายกักกันกุเซ่น 2 (Gusen II Concedntration camp) มาสร้างอุโมงค์ลับใต้ดิน บี8 เบิร์กคริสตอลล์ (B8 Bergkristall) สำหรับใช้ผลิตเครื่องบิน Me-262

สิงหาคม, เคมม์เลอร์ได้รับหน้าที่ควบคุมโครงการจรวด V-2 แทนวอล์เตอร์ ดอร์นเบอร์เจอร์ (Walter Dornberger) 

8 กันยายน, เยอรมันยิงจรวด V-2 เข้าใส่ลอนดอนครั้งแรกโดยใช้ฐานในเมืองเฮก (The Hague) ในเนเธอร์แลนด์ 

1945  31 มกราคม, เคมม์เลอร์ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลโครงการพัฒนาจรวดมิสไซด์ทั้งหมด

มีนาคม, (Massacre in the Arnsberg forest) หน่วย SS-Obergruppenfüher ภายใต้คำสั่งของแคมม์เลอร์ได้ทำการสังหารหมู่นักโทษที่ถูกบังคับใช้แรงงาน 208 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียและโปแลนด์ 

1 เมษายน, เคมม์เลอร์สั่งให้มีการอพยพช่างเทคนิคจากมิตเตลเวิร์กไปยังฐานทัพในเทือกเขาอัลไพน์ เพราะว่าฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังรุกคืบเข้ามาใกล้

5 เมษายน, เคมม์เลอร์สั่งให้มีการทำลายอุปกรณ์ต่างๆ ของจรวด V-1 ซึ่งซ่อนไว้ในเมืองไซกี้ (Syke) ทิ้ง

4 พฤษภาคม, แคมม์เลอร์อยู่ในปราก (Prague) ก่อนที่ในคืนต่อมาจะเกิดเหตุกาณ์ลุกฮือต่อต้านนาซี (Prague uprising) พร้อมกับการมาสมทบของกองทัพแดงของสหภาพโซเวียต  แคมม์เลอร์จึงได้หลบหีออกจากปรากพร้อมกับคนขับรถ ชื่อเคิร์ด เพิร์ก (Kurt Preuk

หลังจากนั้นเรื่องราวของแคมม์เลอร์จนกระทั้งเขาเสียชีวิตก็กลายเป็นเรื่องคลุมเครือสับสน

9 พฤษภาคม , เป็นวันที่ถือว่าแคมม์เลอร์เสียชีวิต ตามคำสั่งของศาล ในปี 1948 โดยศาลตัดสินตามคำบอกเล่าของเคิร์ด เพิร์ก คนขับรถของแคมม์เลอร์เป็นหลัก

จากคำให้การณ์ของฟอน บราวน์ (Wernher von Braun) นักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาจรวด V-2 บอกว่าเขาทราบว่าเคมม์เลอร์มีแผนจะไปหลบซ่อนตัวในเมืองเอ็ดตาล แอ๊บบรี้ (Ettal Abbey)

16 ตุลาคม 1959, Kurt Preuk ซึ่งเป็นคนขับรถของเคมม์เลอร์ ได้ให้การโดยการสาบานว่าเคมเลอร์เสียชีวิตในวันที่ 10 พฤษภาคม 1945 แต่ว่าเขาไม่ทราบสาเหตุของการเสียชีวิต 

7 กันยายน 1965, ไฮน์ซ ซูเนอร์ (Heinz Zeuner) ซึ่งเป็นทหารผู้ติดตามของเคมม์เลอร์ในช่วงสงคราม ให้การณ์ว่าเคมม์เลอร์ เสียชีวิตในวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ซึ่งตัวเขาเอง, เคิร์ด เพิร์ก, และอีกหลายคนก็ได้เห็นศพของแคมม์เลอร์ด้วยตัวองกับตา ซึ่งผู้ที่เห็นต่างมีความเห็นว่าเคมม์เลอร์เสียชีวิตเพราะกินไซยาไนด์ 

1969 หนังสือ Wernher von Braun: Mein Leben für die Raumfahrt เขียนโดย เบิร์น รูแลนด์ (Bernd Ruland) อ้างว่าแคมม์เลอร์เสียชีวิตในวันที่ 9 พฤษภาคม 1945 ระหว่างที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบังเกอร์ พร้อมกับทหารอีก 21 คน ซึ่งพวกเขาถูกกลุ่มผู้ประท้วงชาวเชคหลายร้อยคนไล่ล่า ระหว่างนั้นทหารคนหนึ่งก็ได้ใช้อาวุธปืนยิงแคมม์เลอร์จนตายเพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกจับตัวได้ หนังสือเล่มนี้อ้างคำบอกเล่าของพลเอกวอล์เตอร์ ดอร์นเบอร์เจอร์ (Walter Dornberger) ทหารนาซีคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำสำคัญอีกคนในโครงการจรวด V-2 ซึ่งดอร์นเบอร์เจอร์ก็อ้างอีกทอดว่าได้ฟังจากผู้อยู๋ในเหตุการณ์

อีกเกี่ยวกับการหายไปของแคมม์เลอร์ มาจากรายงานของ CIC (the Counter Intelligence Corps) หน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลก ซึ่งอ้างคำให้การของจอห์น ริชาร์ดสัน (John Richardson) ลูกชายของโดนัลด์ ริชาร์ดสัน (Donald Richardson) ที่บอกว่าแคมมเลอร์ถูกจับตัวได้โดยทหารสหรัฐฯ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 1945 และโดนัลด์ ริชาร์ดสัน ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ OSS  (Office of Starategic Services) หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ​ ก่อนที่จะมีการตั้ง CIA ได้ช่วยพาแคมม์เลอร์มาอยู่ในสหรัฐฯ ตามปฏิบัติการเปเปอร์คลิ๊ป (Operation Paperclip) และริชาร์ดสันคอยติดตามดูแลแคมม์เลอร์จนถึงปี 1947 

Don`t copy text!