Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Fritz Duquesne

ฟริตซ์ ดุเคส์น (Fritz Joubert Duquesne)

สายลับนาซีเยอรมัน ผู้นำเครือข่าย Duquesne Spy Ring 

ฟริตซ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1877 ในเคป โคโลนี่ (Cape Colony) ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่คือประเทศแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน แต่ว่าในเวลาที่ฟริตซ์เกิดนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ พ่อของเขาชื่ออับราฮัม (Abraham Duquesne) และแม่ชื่อมินน่า (Minna Joubert) ฟริตซ์เป็นลูกคนโต เขามีน้องสาวชื่อเอลเบ็ต (Elsbet) และน้องชายชื่อเปโดร (Pedro) 

ต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ในนอล์สตรอม (Nylstroom) และทำฟาร์มของครอบครัวขึ้นมาที่เมืองนี้ นอกจากนั้นอับราฮัมยังทำอาชีพเป็นนายพรานที่ล่าสัตว์และนำหนัง, เขาและนอไปขาย ซึ่งฟริตซ์ก็ได้เรียนรู้ทักษะการเป็นนายพรานมาจากพ่อของเขาด้วย 

1889 ตอนอายุ 12 ปี ฟริตซ์ฆ่าคนเป็นครั้งแรก โดยชายคนดังกล่าวเป็นคนเผ่าซูลู (Zulu) ซึ่งเข้ามาทำร้ายแม่ของเขา ฟริตซ์จึงใช้หอกแทงที่ท้องของชายคนนั้น ทำให้ถึงแก่ความตาย 

1890 ฟริตซ์ถูกส่งไปเรียนหนังสือในอังกฤษ 

บางข้อมูลบอกว่าต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่อ๊อกฟอร์ด (Oxford) และที่โรงเรียนเตรียมทหารเบลเยี่ยม (Royal Military Academy Belgium) แต่ไม่มีเอกสารทางการยืนยัน

1899 สงครามบัวร์ ครั้งที่ 2 (Second Boer War, 1899-1902) เมื่ออังกฤษบุกแอฟริกาใต้ (บัวร์) ฟริตซ์ก็ได้เดินทางกลับมายังแอฟริกาใต้และอาสาเข้าเป็นทหารในกองกำลังของฝ่ายบัวร์ ซึ่งเขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของนายพลปิเอ็ด จัวเบิร์ต (Piet Joubert)

ช่วงเวลานี้ฟริตซ์ใช้ฉายาว่า “Black Panther” ซึ่งเกิดจากการที่เขาเคยเข้าป่าไปล่าสัตว์กับพ่อและเกิดความประทับใจเสือดำซึ่งในเวลาที่มันจะล่าควายป่า เสือดำจะอยู่นิ่งๆ รอคอยเป็นเวลานานเพื่อให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนจะลงมือโจมตี

สงครามโลก ครั้งที่ 2 ใช้รหัสว่า DUNN

ระหว่างสงครามบัวร์นี้ฟริตซ์โดนจับถึง 3 ครั้ง โดยอังกฤษ และหนึ่งครั้งโดยโปตุเกส แต่ว่าหนีออกมาได้ทุกครั้ง

1901 ฟริตซ์พยายามแฝงตัวเข้าไปในกองทัพอังกฤษในเคป ทาวน์ เพื่อพยายามก่อวินาศกรรมและสังหารจอมพลลอร์ด คิตเชเนอร์ (Field Marshal Lord Kitchener) ซึ่งเป็นผู้บัชการการทหารอังกฤษในแอฟริกาใต้ขณะนั้นแต่ว่าฟริตซ์ล้มเหลวและถูกจับ ต่อมาเขาถูกส่งไปขังไว้ในเบอร์มิวด้า (Bermuda) 

ในช่วงเวลานี้เองที่ฟริตซ์ได้ข่าวว่าแม่และน้องสาวของเขาเสียชีวิตภายในค่ายกักกันของอังกฤษ 

1902 มิถุนายน, ฟริตซ์หลบหนีออกมาจากเบอร์มิวด้าได้ และได้หนีไปยังสหรัฐอเมริกา และได้งานทำเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ New York Herald ในนิวยอร์ค ซิตี้ และยังเคยเป็นเทรนเนอร์ในการล่าสัตว์ให้กับประธานาธิบดีรูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ด้วย 

ในปีนี้สงครามบัวร์ยุติ แต่ว่าฟริตซ์ไม่กลับแอฟริกาใต้ เพราะครอบครัวของเขาเสียชีวิตหมดแล้วในสงคราม

1910 แต่งงานกับอลิส (Alice Wortley) ซึ่งทั้งคู่หย่ากันในอีกแปดปีต่อมา

1913 ได้รับสัญชาติอเมริกัน 

1914 เข้าทำงานเป็นสายลับให้กับกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเขาถูกส่งตัวไปยังบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมว่า เฟรเดริค (Fredreick Fredericks) ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่เดินทางมาศึกษาเกี่ยวกับต้นยางพารา แต่งานที่แท้จริงของเขาคือการลอบวางเพลิง วางระเบิด ฝ่ายอังกฤษ ซึ่งฟริตซ์ได้เครดิตว่าเป็นคนที่ทำให้เรือของอังกฤษถึง 22 ลำต้องล่มลง 

1916 ต่อมาสายลับ MI5 ของอังกฤษสืบทราบตัวจริงของฟริตซ์ และเตรียมจะจับกุม แต่ว่าฟริตซ์ได้หลบหนีไปยังอาร์เจนติน่า 

พฤษภาคม, เขาเดินทางกลับมายังนิวยอร์ค 

มิถุนายน, เขาเดินทางไปยุโรป โดยอ้างว่าเป็นดยุ๊คชาวรัสเซีย ชื่อบอริส ซาเครฟสกี้(Duke Boris Zakrevsky) 

5 มิถุนายน, เรือ HMS Hampshire ที่จอมพลลอร์ด คิตชเนอร์ โดยสารไปยังรัสเซีย ถูกระเบิดจนจมลง โดยที่ภายหลังฟริตซ์อ้างว่าเขาเป็นให้ข้อมูลกับเรือดำน้ำ U-boat ของเยอรมันเพื่อที่จะจมเรือดังกล่าว แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เขาได้รับเหรียญ Iron Cross จากวีรกรรมครั้งนี้

1917 พฤศจิกาย, ฟริตซ์ถูกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จับในข้อหาปลอมเอกสารในการเรียกร้องเงินประกัน ก่อนที่ต่อมาทางอังกฤษจะยืนขอให้สหรัฐฯ ส่งตัวฟริตซ์ไปดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ในความเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดเรือและสังหารเจ้าหน้าที่อังกฤษ

แต่ระหว่างที่ฟริตซ์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเพื่อรอการดำเนินคดี เขาได้แกล้งทำเป็นว่าป่วยเป็นอัมพาต จนได้รับการส่งตัวจากเรือจำไปยังโรงพยาบาลเบลเลวู (Bellevue Hospital)

1919 พฤษภาคม , ฟริตซ์หลบหนึออกมาจากที่คุมขังได้ หลังจากแกล้งเป็นอัมพาตอยู่สองปี โดยเขาได้หลับหนีไปยังแม็กซิโก ก่อนที่จะต่อไปยังยุโรป 

1926 กลับมายังสหรัฐฯ​โดยใช้ชื่อปลอมว่า แฟรงค์ (Frank de Trafford Craven) และได้เข้าทำงานในบริษัทภาพยนต์ Film Booking Offices of America (FBO Pictures) 

1930 ย้ายมาทำงานที่บริษัท Quigey Publishing Company ซึ่งผลิตแม็กกาซีนเกี่ยกวกับภาพยนต์

1932 พฤษภาคมเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าตัวจริงของเขาคือฟริตซ์ แต่ว่าระหว่างการดำเนินคดี ทางการอังกฤษก็เลิกติดตามคดีของเขาแล้ว ทำให้ฟริตซ์ได้รับการปลอ่ยตัวออกมาในที่สุด

หนังสือชีวประวัติของฟริตซ์ ถูกเขียนขึ้นมาใช้ชื่อว่า “The Man Who Killed Kitchener” ซึ่งเขียนโดยคลีเมนต์ วู๊ด (Clement Wood)

1934 ฟริตซ์มาเข้ากับกลุ่ม Order of 76 ซึ่งเป็นกลุ่มชาวอเมริกันที่นิยมนาซี ช่วงเวลานี้เองที่ฟริตซ์ได้รับการติดต่อจากหน่วย Abwehr หน่วยข่าวกรองของกองทัพเรือเยอรมัน ให้ทำงานด้วย เครื่องข่าย Duquesne spy ring จึงถูกสร้างขึ้นมานับแต่นี้

1941 28 มิถุนายน, ฟริตซ์ ถูก FBI จับ ในข้อหาเป็นสายลับ พร้อมกับสายลับในเครือข่ายของเขารวม 33 คน เครือข่ายของฟริตซ์ถูกเปิดเผย เพราะวิลเลี่ลม ซีโบล์ด (William Sebold) ซึ่งทำงานเป็นสายลับสองหน้าให้กับทั้งเยอรมันและสหรัฐฯ  ซึโบล์ดนั้นเดินทางไปเยอรมันในปี 1939 เพื่อเยี่ยมครอบครัว แต่ว่าเขาได้รับการติดต่อจากเกสตาโป (Gestapo) ให้มาทำงานด้วย ซึ่งหลังขากซ๊โบล์ตกลับจากเยอรมัน เขาได้ถูส่งมาพบกับฟริตซ์ ซึ่งในเวลานั้นฟริตซ์ตั้งบริษัท Air Terminals Company ขึ้นมาในนิวยอร์ค ซึ่งฟริตซ์มอบข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับอาวุธใหม่ของสหรัฐฯ ทั้งระเบิด, หน้ากากกันแก๊ซพิษ เพื่อให้ส่งข้อมูลกลับไปให้ฝ่ายเยอรมัน 

1942 2 มกราคม, สมาชิก 33 คน ของ Duquesne spy ring ถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 300 ปี 

1954 หลังจากถูกจำคุกมานาน 14 ปี เขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาเพราะปัญหาสุขภาพ

1956 24 พฤษภาม, เสียชีวิตในโรงพบาบาลซิตี้ (City Hospital)  ในนิวยอร์ก ซิตี้ ขณะมีอายุ 78 ปี

Don`t copy text!