Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Linear B

Linear B

1878 Linear B ถูกค้นพบที่คอสซอส บนเกาะครีต (Knossos, Crete Island) โดยนักธุรกิจและนักค้าวัตถุโบราณชาวกรีก ชื่อไมนอส คาลาไรรินอส (Minos Kalokairinos

1895 เซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) ได้เห็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งที่เอรักไลออน (Herakleion) ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุโบราณชุดเดียวกับที่ไมนอส ขุดขึ้นมา

1900 เซอร์อาร์เธอร์ ได้ลงมือขุดสำรวจทางโบราณคดีด้วยตัวเองในพื้นที่เดียวกับที่ไมนอสได้ขุดสำรวจเอาไว้ ซึ่งเซอรือาร์เธอร์ได้คน้พบวัตถุโบราณอีกหลายพันชิ้น ซึ่งหลายชิ้นมีการสลักที่คล้ายข้อความเอาไว้

ซึ่งในเวลานั้น ไม่มีใครสามารถอ่านข้อความที่สลักอยู่บน Linear B ได้ แต่เซอร์อีวาน มีทฤษฏีของตัวเองว่าเป็นภาษาของมิโนอัน (Minoan) ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับกรีก

1936 เซอร์อาเธอร์ได้จัดนิทรรศกาลแสดงวัตถุโบราณที่ขุดขึ้นมาจากคอสซอส ที่เบอร์ลิงตันเฮาร์ (Burlington House) ในลอนดอน ซึ่งขณะนี้เซอร์อาเธอร์มีอายุ 85 ปีแล้ว 

เวนทริส (Michael Ventris) เด็กวัย 14 ปี ซึ่งต่อมาเป็นถูกถอดข้อความของ Linear B ก็ได้เข้าชมนิทรรศกาลครั้งนี้ด้วย และมีความปรารถนาที่จะถอดข้อความบน Linear B มาตั้งแต่นั้น

1939 มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุอีกจำนวนมากในไพลอส (Pylos) ซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของกรีซ ซึ่งวัตถุโบราณนี้มีภาษาแบบ Linear B เขียนอยู่ ทำให้เซอร์อาร์เธอร์ประหลาดใจมาก เพราะเดิมเขาคิดว่าเป็นภาษาเฉพาะที่ใช้อยู่บนเกาะครีตเท่านั้น 

1940 เวนทริส ในวัย 18 ปี มีบทควมเรื่อง Introducing to Minoan Language ตี่พิมพ์ลงในวารสาร

 American Journal of Archaeology ซึ่งบทความนี้เขาเสนอทฤษฏีว่าภาษาบน Linear B มีคามสัมพันธ์กับภาษาอีทรูสแคน (Etruscan) ภาษาของชนกลุ่มหนึ่งตอนเหนือของอิตาลี แต่ว่าต่อมาทฤษฏีของเวนทริสนี้ถูกพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้อง 

1941 เซอร์อาร์เธอร์ เสียชีวิต ซึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเซอร์อาร์เธอร์ได้พิมพ์ภาพบนวัตถุโบราณที่เขาค้นพบออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ว่าหนังสือเล่มสำคัญซึ่งเกี่ยวกับ Linear B  ชื่อว่า Scripta Minoa II ยังไม่เสร็จ เซอร์อาเธอร์ได้ฝากให้ เซอร์จอห์น ไมเรส (Sir John Myres) นักประวัตศาสตร์ที่อ๊ออกฟอร์ดเป็นคนดูแลและเรียบเรียงต้นฉบับ แต่ว่าเพราะเป็นช่วงเวลาสงครามและเซอร์จอห์นก็แก่มาแล้ว กว่าหนังสือจะเสร็จและพิมพ์ออกมาก็กินเวลาหลายปี

ช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็มีการค้นพบวัตถุโบราณและข้อความแบบ Linear B อีกหลายชิ้นในกรีก

1945– หลังสงคามโลก ครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการขุดค้นพบวัตถุโบราณอีกหลายร้อยชิ้น ในไฟลอส (Pylos) โดยนักโบราณคดีชาวอเมริกันชื่อ คาร์ล บลีแกน (Carl Blegan

1951 เอ็มเมนต์ เนบเน็ตต์ (Emmette L. Bennett Jr.) นักวิชาการอเมิรกัน ได้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เกี่ยวกับตัวอักขระจากไพลอส (Pylos tables) และได้ตีพิมพ์ออกมา ซึ่งในวิทยานิพนTNของเขาได้มีการจัดหมวดหมู่ให้กับสัญลักษณ์ที่พบบน Linear B 

1952 Scripta Minoa II ได้รับการตีพิมพ์ออกมา โดยได้รับความร่วมมือในการผลิตจากนักวิชาการหลายคน ร่วมถึงชาวอเมริกัน อลิซ โคเบอร์ (Alice Kober) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่บรู๊คลินคอลเลจ (Brooklyn College) ในนิวยอร์ค โคเบอร์ใช้เวลาว่างในการแปลความหมายของ Linear B โดยใข้วิธี painstaking analysis และเธอได้พัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า Kober’s triplets 

บันทึก “Work Note 17” ของเวนทิส แสดงตารางซึ่งมีการเทียบวรรยุกต์เสียงต่างๆ กับสัญลักษณ์บน Linear B เวนทริสยังทำงานโดยมีการติดต่อกับเอ็มเมนต์ และอลิซ อย่างใกล้ชิด 

1 กรกฏาคม , เวนทริส ประกาศว่าเขาสามารถที่จะถอดข้อความของ Linear B ได้แล้ว ผ่านทางสถานีวิทยุบีบีซี ซึ่งหลังจากที่จอห์น ชัดวิค (John Chadwick) อาจารย์ซึ่งสอนอยู่ที่แคมบริดจ์ และก็พยายามถอดข้อความของ Linear B เช่นกันได้ฟังข่าวดังกล่าว เขาก็ติดต่อกับเวนทริส 

1973 เวนทริส และชัดวิกร่วมกันเขียน Documents in Mycenaen Greek

Don`t copy text!