Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

House of Orange-Nassau

ราชวงศ์สีส้ม (House of Orange หรือ House of Orange-Nassau , ภาษาดัช Huis van Oranje-Nassau)

เป็นราชวงศ์ซึ่งกอบกู้เอกราชของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเป็นแขนงที่แยกออกมาจาก ตระกูลแห่งนัสซอ (House of Nassau) โดยต้นกำเนิดอยู่ที่ปราสาทนัสซอ ในประเทศเยอรมัน

House of Nassau

ดุโด-เฮนรี่ (Dudo-Henry , ประมาณ 1060-1123) เคานท์แห่งลัวเรนเบิร์ก มีลูกชายอยู่สองคน คือ โรเบิร์ต ที่ 1 (Robert I, 1123-1154) และ อาร์โนลด์ ที่ 1 (Arnold I,1123-1148) มีปราสาทลัวเรนเบิร์ก (Castle Luarenburg)  เป็นต้นกำเนิด ต่อมาได้มีการสร้างป

ราสาทใหม่อยู่ไม่ห่างจากปราสาทเดิม เรียกว่าปราสาทนัสซอ

ในปี 1159 พี่น้อง โรเบิร์ด ที่  1 , และ อาร์โนลด์ ที่ 1 ต่างก็ช่วยกันขยายอำนาจและดินแดนของวงศ์ตระกูลออกไป

  กล่าวกันว่า โรเบิร์ต ที่ 1 เป็นคนแรกที่ใช้ตำแหน่งนำหน้าว่า เคานท์แห่

งนัสซอ แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน จนกระทั้งลูกชายของโรเบิร์ต ที่ 1 ชื่อ วัลแรม ที่ 1 (Walram I, 1154-1198) ที่ใช้ตำแหน่งเคาน์แห่งนัสซอ เป็นทางการคนแรก

ด้านของ อาร์โนล์ ที่ 1 มีลูกชายชื่อ เฮนรี่ ที่ 1  (Henry I) เขาก็เป็นคนแรก ที่ใช้ตำแหน่งเคาน์แห่งนัสซอ เช่นกัน 

วัลแรม ที่ 1 มีลูกชายสองคน คนหนึ่งคื่อ เฮนรี่ ที่ 2 (Henry II,the Rich)  ลูกชายของเฮนรี่ ที่ 2 คือ วัลแรม ที่ 2 (Walram II) และ ออตโต้ ที่ 1 (Otto I) เป็นผู้ที่ทำให้สายตระกูลแห่งนัสซอถูกแบ่งออกเป็นสองสาย เรียกว่าเป็น Wilram Line , กับ Otto Line

House of Orange-Nassau เป็นสายที่สืบมาจากวงศ์ทางด้านของอ๊อตโต้

House of Orange-Nassau

ออเร็นจ์-นัสซอร์ เป็นสายตระกูลหนึ่งของนัสซอ พวกเขามีบทบาทสำคัญในการประกาศเอกราชและสร้างประเทศเนเธอแลนด์ จึงได้เป็นกษัตริย์สืบต่อกันมาจนปัจจุบัน

 ราชวงศ์ออเร็นจ์-นัสซอร์ เกิดขึ้นจากการแต่งงานระหว่าง เอนดริก ที่ 3 แห่ง นัสซอร์-เบรด้า (Hendrik III of Nassau-Breda) แห่งเยอรมัน กับ คลอเดีย แห่ง ชาร์ลอน-ออเร็นจ์ (Claudia of Chalon-Orange) จากเบอร์กันดี ในฝรั่งเศส ทั้งคู่แต่งงานกันในปี  1515 ลูกชายของพวกเขา คือ รีน (Rene) ตามประเพณีปฏิบัติจึงได้เป็น Prince of Orange และสามารถใช้ Orange-Nassau เป็นชื่อนามสกุลได้

แต่ว่าด้วยลุงของรีนต้องการให้เขาใช้นามสกุลฝ่ายแม่ จึงรู้จักรีนกันในชื่อ Rene of Chalon , รีนครองอาณาจักรต่อจากบิดา ตั้งแต่ปี 1538 และเสียชีวิตในสงคราม ปี 1544  

 ญาติของเขาคือวิลเลี่ยม แห่งนัสซอร์-ดิลเลนเบิร์ก (William of Nassau-Dillenburg) ได้รับสืบทอดดินแดนทั้งหมดของรีนมา จึงได้ใช้ชื่อว่า วิลเลี่ยม ที่ 1 แห่ง ออเร็นจ์ (William I of Orange ) หรือรู้จักกันว่า William the Silent และเชื้อสายต่อจากวิลเลี่ยมต่างก็สืบทอดการเป็น ออเร็นจ์-นัสซอ

William the Silent

 เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1533 ในปราสาทดิลเลนเบิร์ก ในนัสซอ ประเทศเยอรมัน เป็นลูกโตจากพี่น้องสิบสองคน เขามีน้องชายสี่คน และน้องสาวอีกเจ็ดคน ที่เกิดจาก เคาต์แห่งนัสซอ (William, Count of Nassau) กับ จูเลียน่า แห่ง สโตลเบิร์ก-เวอร์นินเกโรด (Juliana of Stolberg-Werningerode) เขาสืบทอดดินแดนจากรีน ซึ่งเป็นญาติของเขาตั้งแต่ตอนอายุ 11 ปี เป็นเพราะว่ารีนไม่มีทายาท ทำให้เขาได้ทั้งดินแดน และสิทธิในการเป็น Prince of Orange แต่ว่าตอนที่เขายังเด็กนั้นจักรพรรคชารล์ที่ 5 แห่งโรมันศักดิ์สิทธิ์ (Charles V, the Holy Roman Emperor) เป็นผู้ดูแลดินแดนที่เขาได้รับ ระหว่างนี้ิิวิลเลี่ยมถูกส่งไปยังเนเธอแลนด์เพื่อเรียนหนังสือ

 ปี 1549 ชาร์ล ที่  5 ออกกฏหมาย Pragmatic Sanction เพื่อรวมเอา 17 จังหวัดของโฮลีโรมัน ให้อยู่ภายใต้การปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ใต้อำนาจของพระองค์ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ เพราะมีความแตกต่างกันในหลายด้าน พฤศจิกายน 1555 จักรพรรคชาร์ล ที่ 5 ทรงสละราชสมบัติ และให้โอรสของพระองค์คือ ฟิลิป ที่ 2 แห่งเสปน (Philip II of Spain) ขึ้นเป็นครองราชย์

 ภายใต้อำนาจของฟิลิป มีการขึ้นภาษีอย่างมาก พระองค์ต้องการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย รวบอำนาจ และต้องการให้ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของโรมันแคธอริก จนกระทั้ง 1568 วิลเลี่ยม ที่ 1 แห่งออเร็นจ์ ได้เป็นแกนนำก่อกบฏต่อต้าน จักรพรรดิ ฟิลิป ที่  2 เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม 80 ปี แต่วิลเลี่ยมเสียชีวิตไปตั้งแต่ 1584 ช่วงต้นของสงคราม จากการถูกยิงโดยบาลธาสาร์ เจอราร์ด (Balthasar Gerard) ซึ่งสนับสนุนสเปน

สงคราม 80 ปี (1568-1648)

วิลเลี่ยมแห่งออเร็นจ์ (William of Orange) เป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของจังหวัด 7 จังหวัด ซึ่งร่วมกันก่อตั้งสหรัฐเนเธอแลนด์ (the Seven United Netherlands) กับพันธมิตร คือ อังกฤษ โปแตสแตนส์ในเยอรมัน ฝรั่งเศส ต่อต้านจักรวรรดิเสปนและโฮลีโรมัน สงครามสิ้นสุดในปี 1648 หลังลงนามในสนธิสัญญา Peaceo of Munster 

Don`t copy text!