Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Jose Marti

ecured.cuโจซ มาร์ติ (Jose Julian Marti Perez)
ฮีโร่แห่งคิวบา
เกิดในกรุงฮาวาน่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1853 ในกรุงฮาวาน่า บ้านเลขที่ 41 บนถนนบัวล่าพ่อของมาร์ติ เป็นชาวเสปนชื่อว่า มาเรียโน่ นาวาร์โร (Mariano Marti Navarro) และแม่ชื่อ ลีโอนอร์ คาเบรร่า (Leonor Perex Cabrera) เขาเป็นพี่คนโตในบ้าน และมีน้องผู้หญิงอีก 7 คน1857 ตอนอายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวย้ายจากคิวบา ไปอยู่ที่สเปน ในเมืองวาเรนเซีย (Valencia) แต่ว่าอยู่ได้แค่ 2 ปี ก็เดินทางกลับมายังคิวบาอีก และมาร์ติ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล ในเมืองซานตา คลาร่า (Santa Clara) ซึ่งพ่อของเขาได้งานทำเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำ

1865 มาร์ติ สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมที่ Escuela de Instrucción Primaria Superior Municipal de Varones  ซึ่งมีครูใหญ่ชื่อ ราฟาเอล มาเรีย เมนไดฟ (Rafael Maria de Mendive) เขามีอิทธิพลต่อความสนใจทางการเมือง สังคม ของมาร์ติ   เดือนเมษายน ข่าวการเสียชีวิตของอับบราฮัม ลินคอร์น ทำให้เขาและเพื่อนๆ แสดงออกด้วยการไว้อาลัย แก่ชายผู้ประกาศเลิกทาสในแ่นดินอเมริกา1866 เข้าสมัครเข้าเรยนสถาบันศิลปะซานอเลจากโดร ( San Alejandro) 

1867 เข้าเรียนที่ซาน พาโบล (San Pablo) ตลอดระยะเวลาที่เขาเรียนหนังสือ เมนไดฟ เป็นคนให้ทุนในการศึกษาแก่เขา มาร์ติ เป็นคนมีหัวศิลปะ และมีผลงานเขียนบทกลอน บทกวี ออกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ท้องถ่ินตั้งแต่อายุได้เพียง 16 ปี โดยบทกวี แรกของเขาเขียนอุทิศให้กับภรรยาของเมนไดฟ มันปรากฏในหนังสือพิมพ์ El Album ในเมืองกวนนาบาเกา เมืองทางตะวันออกของกรุงฮาวาน่า สงครามสิบปี (Ten Years war) 

1868-1878 สงครามสิบปี เป็นความพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชของคิวบาจากเจ้าอาณานิคมสเปน โดยทั้งทาสที่ต้องการเป็นอิสระและเจ้าของที่ดินชาวคิวบาเองก็ต้องการเอกราช มาร์ติ เอง แม้จะยังอายุน้อย แต่ก็คลั่งไคล้ และให้การสนับสนุนฝ่ายต่อต้านสเปน เขาเริ่มด้วยการเขียนบทความ กวี เกี่ยวกับเอกราช  เข้าร่วมในการปลุกระดม และการวางเพลิงสถานที่่ต่างๆ

1869   มีบทความเกี่ยวกับการเมืองของมาร์ติ พิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ El Diablo Cojuelo , และเขียนนิยายกึ่งกลอนชื่อ Abdala ลงในหนังสือพิมพ์ La Patria Libre (The Free Homeland) โดยโคลงชื่อ 10 de octubre จาก Abdala เป็นโคลงทีมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา พฤษภาคม โรงเรียนของเขาถูกรัฐบาลสั่งปิด ทำให้มาร์ติ ต้องหยุดเรียนหนังสือโดยปริยาย และทำให้เขาเกลียดการเป็นทาสและเมืองขึ้นของสเปนมากกว่าเดิม 21 ตุลาคม เขาถูกจับกุมตัวในข้อหาการลอบวางเพลิง ในอีกสี่เดือนต่อมาเขาให้การรับสารภาพ จึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 6 ปี รอยของโซ่ตรวนที่ขากลายเป็นแผลเป็นติดตัวเขาไปจนตาย ในปีต่อมาพ่อของเขาพยายามใช้ทนายความและวิ่งเต้นช่วยลูกชายให้พ้นโทษ นั้นทำให้มาร์ติ ได้รับการผ่อนผันโทษ และเปลี่ยนเป็นการเนรเทศไปยังสเปนแทน
1871   ตอนอายุได้ 18 ปี เขาถูกสเปนเนรเทศออกจากประเทศ ออกเดินทางไปกับเรือกลไอน้ำชื่อ Guipuzcoa เรือออกจากฮาวาน่า มุ่งตรงไปยังเมืองคาดิช (Cadiz) จากนั้นได้เดินทางมายังเมืองหลวง กรุงแมดริด เขาอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 10 ถนน Desengano  มาร์ติเข้าเรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัยเซนทรัล ( Central University of Madrid) และระหว่างที่เรียนไป เขาก็ยังต่อสู้เพื่อประเทศของตัวเองไปด้วย เขาเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ในสเปน แจกแผ่นพับใบปลิว ประณามการกระทำของสเปนในคิวบา ในเดือนกรกฏาคมเฟอร์มิน โดมินกุซ ( Fermin Valdes Dominguez) นักเรียนแพทย์ เพื่อนของมาร์ติ ที่ต่อสู้กันในคิวบาและถูกจับ ก็ถูกเนรเทศมายังสเปนด้วยเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่มาสมทบกัน เฟอร์มิน โดมินกุช เป็นกำลังสำคัญในการนำบทความที่มาร์ติเขียนออกเผยแพร่
1873   A mis Hermanos Muertos el 27 de Noviembre เขียนโดย มาร์ติ ถูกตีพิมพ์ เดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลสเปนประกาศว่าคิวบาเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกจากสเปนไม่ได้ และนั้นทำให้มาร์ติ เขียนบทความชื่อ The Spanish Republic and The Cuban Revolution เขาส่งมันไปให้กับหลายๆ คน ทั้งนายกรัฐมนตรี เดือนพฤษภาคม โจส์ มาร์ติ ย้ายไปยังเมืองซารากอสส่า (Saragossa) พร้อมด้วยเฟอร์มิน โดมินกุช ทั้งคู่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยลิเทอราเรีย (Universidad Literaria) ในขณะที่ยังเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ La Coustion Cabana of Sevilla ไปด้วย
1874  

เดือนมิถุนายน  มาร์ติ สำเร็จการปริญญาตรี สาขาสิทธิมนุษย์ชนและกฏหมายเกี่ยวกับศาสนา (Civil Rights and Canonical Law) จากนั้นใน

เดือนสิงหาคม เขาได้สมัครเข้าเรียนที่ Facultad de Filosofia y Letras de Zaragoza และเรียนจบในเดือนตุลาคม

เดือนพฤศจิกายน เดือนทางกลับไปยังกรุงแมดริด ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังปารีส พอเดือนสิ้นปีเขาก็เดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา แต่ว่ายังไม่สามารถกลับคิวบาได้

1875   ในประเทศเม็กซิโก เขาอาศัยอยู่ในตึกคาลเล มอเนด้า (Edificio de la calle Moneda)อยู่ในเม็กซิโกซิตี้  ไม่ห่างจากจตุรัสโซคาโล่ (Zocalo) มากนัก มันเป็นตึกสวยแบบยุโรป ซึ่งห้องด้านบนมีเลขานุการเมืองชือ มานุเอล เมอร์คาโค้ (Manuel Mercado) เช่าอยู่ เขากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดอีกคนหนึ่งของมาร์ติ  มาร์ติ ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ Revista Universal เรื่องแรกที่เขาเขียนคือ Vicente Villada , มาร์ติ ได้ทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์นี้ด้วย ธันวาคม สมาคมศิลปีนและนักเขียนชื่อ Sociedad Gorostiza ได้รับมาร์ติ เข้าเป็นสมาชิก ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับ คาร์เมน ซายาส-บาซาน (Carmen Zayas-Bazan) คนที่จะมาเป็นภรรยาของเขาในอนาคต

1876   ในเม็กซิโก หลังการอสัญกรรมของประธานาธิบดีเบนิโต้ จัวเรซ (Benito Juarez) ในปี 1872 อำนาจบริหารจึงตกอยู่ในมือของรองประธานาธิบดีเซบาสเตียน เตจาด้า (Sebastian Lerdo de Tejada) ซึ่งต่อมาเซบาสเตียน เตจาค้า ได้พยายามจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนพฤษภาคม 1876 นี้ ทว่านายพลพอร์ฟิริโอ ดิแอซ (Gen. Profirio Diaz) ซึ่งเคยเป็นคู่ชิงตำแหน่งกับเบนิโต้ จัวเรซ แต่แพ้ไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 1862 มาคราวนี้เขาได้ประกาศแผนการ The Plan of Tuxtepec ในวันที่ 10 มกราคม ซึ่งเป็นการก่อกบฏ ล้มการเลือกตั้ง ซึ่งดิแอซได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และมีชัยชนะ เขามอบอำนาจประธานาธิบดีชั่วคราวให้กับโจส์ มาเรีย อิกเลเซียส (Jose Maria Lglesias) ก่อนที่ตัวเขาเองจะกลายเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งเพีียงคนเดียว และกลายเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤษภาคม 1877 ในช่วงที่วุ่นวายกันอยู่นั้น มาร์ติ ให้การสบับสนุนประธานาธิบดีเซบาสเตียน เตจาด้า เขาเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ El socialista ก่อตั้งสมาคม Sociedad Alarcon และเป็นผู้นำกลุ่ม Gran Circulo Obrero ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูปของเตจาต้า

1877   2 มกราคม ถึง 24 กุมภาพันธ์ เดินทางออกจากเม็กซิโกกลับไปยังฮาวาน่า คิวบา โดยใช้ชื่อปลอมว่าจูเลียน เปเรส (Julain Perez) เพื่อหาลู่ทางย้ายจากเม็กซิโก แต่ว่าไม่นานก็เดินทางกลับมายังเม็กซิโก และเดินทางต่อไปยังกัวเตมาลา เขาไปอาชัยอยู่ชายเมืองของ Ciudad Vieja ซึ่งห่างจากตัวเมืองหลวงไปแค่ 3 กิโลเมตร เขาได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีกัวเตมาลา จัสโต บาริออส (Justo Rufino Barrios) ซึ่งต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานเป็นอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์และปรัญชา ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Universidad Nacional ในเดือนพฤษภาคม

20 ธันวาคม 1877  มาร์ติ เดินทางกลับมายังเม็กซิโก เพื่อแต่งงานกับคาร์เมน มาร์ติ เขียนถึงภรรยาของเขาไว้ว่า

Es tan bella mi Carmen, es tan bella, 

que si el cielo la atmósfera vacía  dejase de su luz, dice una estrella que en el alma de Carmen la hallaría.

คาร์เมนของฉันสวย เธอสวย – ยามท้องฟ้าปลอดโปร่งนั้นคือแสงของเธอ – ดาวบนฟ้าคือจิตวิญญาณของคาร์เมนเรียกหาตัวเธอ

1878   เดินทางกลับมายังกัวเตมาลาในช่วงต้นปี และออกหนังสือชื่อ Guatemala ปีนี้ในประเทศคิวบาสงครามสิบปี ได้สิ้นสุดลง โดยมีการลงนามในข้อตกลงซานจอน ( Pact of Zanjon) ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1878 เป็นอันสินสุดสงคราม 10 ปีระหว่า่งประชาชนคิวบาและสเปน แต่ว่าสภานะของประเทศคิวบายังคงเป็นเมืองขึ้นอยู่มาร์ติเดินทางกลับคิวบาหลังจากนั้น เขาพักอาศัยในกรุงฮาวาน่าในวันที่ 31 สิงหาคม และภรรยาเขาก็ให้กำเนิดลุกชายในวันที่ 22 พฤศจิกายน ชื่อโจซ์  (Jose Francisco) หรือ Pepito

1879   เกิดสงครามขึ้นในช่วงวันเกิดอายุหนึ่งปีของลูกชายมาร์ติ มาร์ติ ถูกกล่าวหาว่่าร่วมมือกับกลุ่มกบฏหลายกลุ่มโดยเฉพาะนายจอว โกเมซ (Juan Gualberto Gomez)

17 กันยายน เขาถูกจับตัวในบ้านของเขา เลขที่ 42 โดยรัฐบาลตัดสินใจเนรเทศเขาไปยังสเปนอีก เป็นการถูกเนรเทศครั้งที่ 2 แต่วาหลังจากไปอยู่ที่สเปน เขาก็หลบหนีเข้าฝรั่งเศส และเดินทางมายังสหรัฐอเมริกา
3 มกราคม 1880 เขาอยู่ในนิวยอร์ค โดยได้ไปอาศัยอยู่ในบ้านของมานูเอล แมนติลล่า (Manuel Mantilla) กับ คาร์เมน มิยาเรส (Carmen Miyares)24 มกราคม 1880 เขากล่าวสุนทรพจน์ที่สเตค์กฮฮล (Steck Hall) เรียกร้องการปฏิวัติคิวบา เพื่ออิสระภาพ ที่นี่เขาทำงานเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ภาษาสเปนหลายฉบับ อย่าง La Opinión Nacional, Caracas, La Nacion, Buenos Aires และ the Liberal Party of Mexico. 

1881   เดินทางไปเวเนซุเอล่า เขาเคยคิดจะย้ายออกจากสหรัฐอเมริกา 21 มกราคม เขาอยู่ในกรุงคาราคาส และได้เป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมในวิทยาลัย ซานต้ามาเรีย (College of Santa Maria) และต่อมาได้เป็นอาจารย์ด้านวรรณกรรมที่ Colegio Villegas  มาร์ติ ทำหนังสือพิมพ์ชื่อ La Opinion Nacional of Caracas โดยใช้นามปากกา M. Z , เขาได้รู้จักกับ Cecilio Acosta  นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนคนสำคัญของเวเนซุเอล่าด้วย 10 สิงหาคม เดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกา เพื่อเตรียมการสำหรับการทำสงคราม

1882 มาร์ติ ได้พยายามก่อตั้งขบวนการปฏิวัติขึ้นมา โดยร่วมมือกับนายทหารสองคนที่มีบทบาทในสงครามสิบปี ชื่อ แมซิโม่ โกเมซ (Maximo Gomez) และ แอนโตนิโอ มาคีโอ (Antonio Maceo) แต่ว่าภายหลังมาร์ติได้ถอนตัวออกมาจากลุ่มเพราะความเห็นไม่ลงรอยกันเรื่องแนวทาง โกเมซนั้นมีแนวโน้มที่อยากจะเป็นผู้นำแบบเผด็จการทหารถ้าการกู้เอกราชสำเร็จ ซึ่งมาร์ติไม่เห็นด้วย และต้องการเห็นเสรีภาพในคิวบา
16 สิงหาคม 1887 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกงสุลของอุรุกวัย ประจำนิวยอร์ค

24 กรกฏาคม 1890 ได้รับแต่งตั้งให้เป้นกงสุลของอาร์เจนติน่า ประจำนิวยอรค์

30 กรกฏาคม 1890 ปารากวัย แต่งตั้งเขาให้เป็นกงสุล เช่นกัน

23 ธันวาคม 1890 อุรุกวัย แต่งตั้งให้มาร์ติ เป็นตัวแทนในการประชุมคณะกรรมการการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary commission)ต่อมาในเดือนตุลาคม 1891 มาร์ติ ลาออกจากทุกตำแหน่ง เพื่ออุทิศตัวเองให้กับการประกาศเอกราช
1891 30 มิถุนายน ภรรยาเขาและลูกชายเดินทางมายังนิวยอร์คเพื่อพบกับมาร์ติ ตอนนั้นลูกชายเขามีอายุ 13 ปีแล้ว แต่ว่าเมื่อคาร์เมนรู้สึกว่ามาร์ติให้ความสำคัญกับการกู้เอกราชของประเทศ ส่วนเธอนั้นไม่สนใจมันเลย เธอจึงพาลูกกลับไปยังฮาวาน่า ในวันที่ 27 สิงหาคม นั้นเป็นวันสุดท้ายที่มาร์ติได้มีโอกาสพบภรรยาและลูก ในชีวิตเขา มาร์ติ มีความสัมพันธ์ใหม่กับหญิงม่ายลูกติดชาวเวเนซุเอร่า ชื่อคาร์เมน มิยาเรส (Carmen Miyares de Mantilla) เธอมีลูกสาวอยู่แล้วคนหนึ่ง
1892 เขาก่อตั้งพรรค Cuba Revolution Party และในวันที่ 8 เมษายน มาร์ติ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำพรรค และพรรคได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 เมษายน

15 กันยายนโกเมซ ได้รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลังของฝ่ายปฏิวัติ

1894 25 ธันวาคม  มาร์ตี เขียนแผนการก่อการปฏิวัติได้สมบูรณ์ ร่างแผนการนี้ต่อมาภายหลังรู้จักกันในชื่อ แผนเฟอร์นานดิน่า (Fernandina Plan) โดยในแผนการต้องการยึดครองเกาะ 3 แห่ง Amadis vapors,Logonda, และ Baracoa
1895 12 มกราคม เจ้าหน้าที่สหรัฐสามารถยึดเรือลักลอบขนอาวุธชื่อ Lagonda, Amadis, และ Baracoa ที่ท่าเรือเฟอร์นานดิน่า (Fernandina port) ในฟลอริด้า เจ้าหน้าที่สหรัฐล่วงรู้แผนการของพวกเขาเพราะว่านายพลโลเปช (Colonel Lopez Queralta) ทรยศ และนำเรื่องไปบอกเจ้าหน้าที่ แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อแผนการปฏิวัติของเขา แต่ความต้องการปฏิวัติไม่ได้หยุดไป 30 มกราคม ขึ้นเรือไอน้ำเอทอส (Athos) จากนิวยอร์คไปยังโดมินิกัน เข้าพบกับผู้ร่วมขบวนการ และตัดสินใจที่จะเดินหน้าการลุกฮือต้านสเปนต่อไป

25 มีนาคม โกเมซ ลงนามในแถลงการณ์มอนเตคริสติ ( Montecristi Manifesto) มันเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการของพรรค Cuba Revolution Party เขียนขึ้นโดยมาร์ติ , ลงนามบนเกาะชื่อมอนเตคริสติ ,โดมินิกัน

2 เมษายน เดินทางจากเกาะมอนเตคริสติ มาถึงเกาะ Great Inagua มาร์ติ เขียนบันทึกเอาไว้ว่า พวกเขาใช้เรือ 11 ลำ แร่นมา และก็ทิ้งเรือไป 11 ลำ ในวันที่ 10 เมษายน ตอนหนึ่งทุ่ม มันมืดมาก ฝนตกลงมาอย่างหนัก  จนกระทั้ง 3 ทุ่มถึงมองเห็นพระจันทร์ มันมีสีแดง พวกเขามาถึงชายฝั่งที่มีแต่โขดหิน

5 พฤษภาคม The Marjoram สถานซึ่ง Jose Marti , Antonio Maceo, Mazimo Gomez พูดคุยกัน มันอยู่ใน San Luis,Oriente ,Caba 17 พฤษภาคม มาร์ติ เขียนไว้ว่า

โกเมซ เดินทางมาพร้อมม้า 40 ตัว มาร์ตียืนจดคำสั่งที่เขาสั่ง เพื่อแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่

18 พฤษภาคม  มาร์ติ เขียนจดหมายหาเพื่อนของเขามานูเอล เมอร์คาโด้ ( Manuel Mercado) Mi hermano queridísimo: Ya puedo escribir: ya puedo decirle con qué ternura y agradecimiento y respeto lo quiero, ya esa casa que es mía, y orgullo y obligación: ya estoy todos los días en peligro de dar mi vida por mi país, y por mi deber –puesto que lo entiendo y tengo ánimos con que realizarlo – de impedir a tiempo con la independencia de Cuba que se extiendan por las Antillas los Estados Unidos y caigan, con esa fuerza más, sobre nuestras tierras de América.

เขาเขียนบรรยายอันตรายที่มีอยู่ทุกเสียวนาทีในชีวิต แต่อย่างไรก็ต้องไปให้ถึงจุดหมาย มันเป็นจดหมายฉบับที่มีชื่อเสียงอีกอัน โดยมาร์ติ

19 พฤษภาคม 1895  โกเมซเดินทางไปที่ค่ายใน Vuelta Grande เพื่อพบกับนายพลมาโซ่ (Bartolome Maso) บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน จนกองทัพนายพล ( Ximenez de Sandoval) ของสเปน มีกำลัง 600 นาย มาร์ติถูกสั่งให้หลบอยู่ด้านหลัง แต่ว่าเขาเองใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำ และมีม้าสีขาว มีเอกสารและเงินจำนวนมาก ทำให้ทหารสเปนแยกแยะเขาออกได้โดยง่าย มาร์ตีถูกยิงจนเสียชีวิต บริเวณใกล้กับสองแม่น้ำ (แม่น้ำContramaestre และ Cauto) ศพของมาร์ติถูกทหารสเปนเผาในบริเวณนั้นอย่างง่ายๆ โดยไม่ได้มีการนำใส่โลง

คิวบาของโจซ์ มาร์ติ มีเอกราชที่แท้จริงในปี 1959 … 64 ปี หลังจากมาร์ติ เสียชีวิตไปแล้ว เขาเป็นฮีโร่ตลอดกาลของคนคิวบา และของฟิเดล คาสโตร

Don`t copy text!