Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

80 years war

สงคราม 80 ปี  เอกราชของเนเธอร์แลนด์

เริ่มขึ้นในปี 1568 เป็นการต่อสู้ระหว่าง กลุ่ม 17 จังหวัด ซึ่งนับถือนิกายโปแตสแตนท์ ต่อสู้กับจักวรรรดิเสปน ซึ่งเป็นแคธอริค สงครามแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ปี 1568-1572 นำโดย วิลเลี่ยม ที่ 1 แห่ง ออเร็นท์ ( William I of Orange)  และ ช่วงปี

1555 ในจักรวรรดิเสปน (Spanish Empire) จักรพรรรดิ ชาร์ล ที่ 5 (Charles V) ทรงสละราชสมบัติ สืบต่อให้โอรสของพระองค์ ฟิลิป ที่ 2 (Philip II)

Phillip II นั้นได้รับสืบทอดดินแดน Habsburg Netherlands มาด้วย ซึ่งการปกครองดินแดนแห่งนี้ แบ่งอำนาจเป็นของชนชั้นสูง และสภาของเนเธอแลนด์  State-General of the Netherland และผู้ปกครองจากรัฐบาลกลางของสเปน เรียกว่าเป็น Regent ซึ่งถูกคัดเลือกมาโดยผ่านทั้ง 3 คือ Council of State , Privy Council , Council of Finances 

Phillip II ไม่ได้บริหารดินแดนโดยตรง แต่แต่งตั้งตัวแทน มีตำแหน่งเป็น Governor-General ให้แก่  เอ็มมานูเอ็ล ฟิลิปเบิร์ก (Emmanuel Philibert, Duke os Savoy)และ มากาเร็ต แห่งปาร์ม่า (Margaret of Parma) และยังมี Antoine Perrenot de Granvelle ซึ่งฟิลิป ทรงแต่งตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิก ซึ่งนางมีอิทธิพลอย่างมากใน Council of State Governor-General เหล่านี้ทำงานร่วมกับชนชั้นสูงในเนเธอแลนด์อย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยม แห่งออเร็นจ์​ (William,Prince of Orange } เคานต์ ฟิลิป เดอ มอนต์โมเรนซี่ แห่ง ฮอร์น (Philip de Montmorency,Count of Hoorn)

ในตอนนั้น จังหวัดทั้ง 17 ซึ่งรวมเรียกว่าจักรดิวรรดิอับสเบิร์ก ( Habsburg Empire) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน ไม่พอใจการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากของผู้ปกครอง นอกจากนั้น Philip II รับเอานโยบายตามอย่างพระบิดา Chales V ที่ไล่ล่าและกำจัดผู้ที่ไม่นับถือแคทธอริก โดยเฉพาะพวกโปแตสแตน ทำให้เกิดกลุ่มหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านสเปน ได้แก่ กลุ่ม ลุเธอรัน (Lutheran movement) นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) กลุ่ม อนาแบพติส (Anabaptist movement) ของ เมนโน ซีมอนส์ (Menno Simons) และกลุ่ม Calvinist ของ จอห์น คาล์วิน (John Calvin)

รัฐบาลภายใต้การนำของ Margaret of Parma นั้นดำเนินนโยบายกวาดล้างกลุ่มโปรแตสแตนส์ทั้งหลายอย่างหนัก มีพวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตถูกประหารไปกว่า 1,300 คน  ระหว่างปี 1523-1566 จน William ,of Orange แม้ว่าจะเป็นสมาชิกใน Council of State และยังเป็นแคธอริก แต่เขาก็เห็นว่าควรปล่อยให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา William, of Orange ทรงโจมตีนโยบายของรัฐและกษัตริย์แห่งสเปน อย่างเปิดเผย

1565   วิลเลี่ยม แห่งออเร็นจ์ ตั้งกลุ่มของชนชั้นสูง Confederacy of Nobleman (Compromise of Nobles) มีสมาชิกจากชนชั้นสูงทั้งโปแตสแตน และแคธอริก ประมาณ 400 คน ร่วมกันเขียนคำฏีกา ถึงมาร์กาเก็ตแห่งปาร์ม่า ในวันที่ 5 เมษายน  เรียกร้องให้หยุดการไล่ล่าชาวโปแตสแตน ซึ่งฏีกานี้ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อม ในวงกว้างในจังหวัดอับเบิร์กทั้งหลาย มีการลุกขึ้นมาต่อต้านเผาทำลายสัญลักษณ์ของคริสต์จักรโรมัน และสัญลักษณ์อันเกี่ยวเนื่องกับกษัตริย์ จนมาร์กาเร็ต แห่งปาร์ม่า เองต้องยินยอมให้กลุ่มของวิลเลี่่ยม แห่งออเร็นจ์ นั้นเขามาช่วยในการนำความสงบกลับคืนมายังดินแดน แต่ทว่า มาร์กาเร็ต เองนั้นไม่ได้รักษาคำพูด รัฐบาลยังคงไล่ล่าพวกโปแตสแตน แต่ไป จนแม้แต่พวกลูเธอร์ลัน ยังต้องหนีออกจากประเทศไป

1567 กษัตริย์ฟิลิป ที่ 2 ทรงไม่พอใจสถานะการณ์ในเนเธอแลนด์ จีงได้ตั้งนายพล เฟอร์นานโด้ (Fernando Alvarez de Toledo, Duke of Alba) เข้ามารับหน้าที่นำความเรียบร้อยกับมา ตอนนั้นทำให้ วิลเลียม แห่งออเร็นจ์ วางมือ และเดินทางกลับไปยังดินแดนนัซซัว ตอนเมษายน  5 กันยายน นายพลเฟอร์นานโด้  ตัั้งกลุ่ม Council of Troubles (Council of Blood) เข้ามาเพื่อพิจารณาคดีกลุ่มกบฏ วิลเลี่ยม แห่งออเร็นจ์ กลายเป็นหนี่งในกว่าหมื่นคนที่ถูกสภาแห่งนี้เรียกให้มารายงานตัว แต่ว่าเมื่อวิลเลี่ยม ไม่ได้มาปรากฏตัวตามหมายเรียก ทำให้เขาถูกสภาประกาศให้เป็นคนผิดกฏหมาย และประกาศยึดทรัพย์สมบัติของเขา ตอนนี้นมีการประหารคนทัั้งสามัญชนและขุนนาง ไปกว่า 1,000 คน หลายคนต้องหนีเอาชีวิตรอด วิลเลี่ยม แห่งออเร็นจ์ หลบหนีไปยังดิลเลนเบิร์ก (Dillenburg) และเขาใช้ที่นี้เป็นศูนย์บัญชาการในการบุกเนเธอแลนด์

Battle of Heiligerlee

23 พฤษภาคม 1568  การรบในสมรภูมิเฮียลิเกอร์ลี เริ่มต้นขึ้น สมรภูมิแห่งนี้ได้ถูกถือว่าเป็นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งสงคราม 80 ปี ในตอนแรกฝ่ายกบฏ เป็นฝ่ายมีชัยชนะกองทหารเล็กๆ ของเสปนได้ และการรบทางทะเล ก็สามารถเอาชนะกองทัพเรือสเปนที่ Ems ได้ แต่ว่าออเร็นจ์ประสบปัญหาเรื่องเงินทุนในการทำสงคราม จนทำให้เขาไม่อาจจะดูแลกองทัพได้ และเมื่อต้องรบที่ Brabant ฝ่ายกบฏ ของวิลเลี่ยม ก็เป็นฝ่ายต้องถอยหนี ให้กับทหารของเฟอร์นานโด้ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากฝรั่งเศสด้วย

1572-1576

ช่วงเวลานี้ สเปน มีสงครามหลายด้าน ทั้งการต่อสู้กับอาณาจักรออตโตมานในการแย่งอิทธิพลในเมดิเตอร์เรเนียน และยังยุ่งกับการปรากลุ่มกบฏในประเทศอย่างต่อเนื่องปี

1571 นายพลเฟอร์นานโต้ ได้ออกกฏหมายเพื่อเรียกเก็บภาษี 1  ใน 10 ส่วนของการค้า แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเสนอให้สภาแล้วแต่สภาปฏิเสธ เขาจึงใช้อำนาจส่วนตัวผ่านกฏหมายนี้ นั้นทำให้กระแสต่อต้านตามมาจากทั้งชาวแคธอริกและโปแตสแตน ซึ่งกลายเป็นการสนับสนุนกบฏให้เข็มแข็งขึ้ง

1 มีนาาคม 1572 พระราชินีอลิซาเบธ ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงขับไล่กองเรือของฝ่ายกบฏ (Sea Beggars) ซึ่งจอดอยู่ในชายหาดของอังกฤษ เพื่อที่จะเอาใจกษัตริย์แห่งสเปน แต่กลายเป็นว่า กองเรือที่แล่นอกอจากอังกฤษนั้นได้เข้ายึดเมือง Brill ในเนเธอแลนด์เอาไว้ได้ ในวันที่ 

1 เมษายน และนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในครั้งหนึ่ง เพราะมันกลายเป็นฐานที่มั่นในการเข้ายึดส่วนอื่นๆ จากสเปน หลายเมืองในเนเธอแลนด์ปัจจุบันได้ประกาศให้การสนับสนุนต่อฝ่ายกบฏ (ยกเว้นอัมเตอร์ดัม และ มิดเดลเบิร์ก ยังคงสนับสนุนแคธอริก จน 1578)การประชุมในเดือน

กรกฏาคม 1572 ที่ Dordrent วิลเลี่ยม แห่งออเร็นจ์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองของ Holland,Zeeland,Friesland และ Utrecht  โดยมีการแบ่งอำนาจกันระหว่างรัฐเดิมกับ วิลเลี่ยม แต่น้่นก็มีปัญหาความขัดแย้งภายในกลุ่มเช่นกัน เพราะพวก Calvinists ต้องการที่จะต่อสู้กับฟิลิป ต่อไป แต่ก็ยังมีชาวแคธอริกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพื้นฟูความเป็นดัตช์แต่ก็อยากภักดีต่อสเปนต่อไป 

1573 นายพลเฟอร์นานโด้ ถูกปลดจากตำแหน่ง โดย Luis de Requesens เข้ามาทำหน้าที่แทน

1575 สเปน ประกาศล้มละลาย เนื่องจากทำสงครามมาอย่างยาวนานจนมีปัญหาทางการเงิน

1576 4 พฤศจิกายน เกิดเหตุการณ์ Sacked Antwerp เกิดจากทหารรับจ้างของสเปน ซึ่งไม่ได้รับเงินเดือนตอบแทน ได้เดินขบวนมุ่งหน้าไปยังกรุงบรัสเซล แต่ระหว่างทางได้เข้าปล้นสดมภ์ภายในเมือง Zierikzee และ Aalst เหตุการณ์ดำเนินอยู่เพียง 3 วัน แต่นั่นทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนกว่า 7,000 คน ซึ่งทำให้คนทั้งประเทศสเปนพากันช็อคในสิ่งที่เกิดขึ้น และบั่นทอนพระราชอำนาจของกษัตริย์ฟิลิป ตอนนั้นจึงได้มีการเจรจาสันติภาพกันขึ้นระหว่างสเปน นำโดย State-General ซึ่งเหมือนกับเป็นรัฐสภาที่มีผู้แทนและวุฒิสภา ซึ่งรับหน้าที่จากกษัตริย์เสปนให้ดูดินแดนเนเธอแลนด์ ได้แต่งตั้งให้ Duke of Aerschot เจรจา กับจังหวัดที่เป็นกบฏ คือ Holland กับ Zeeland  และฝ่ายทหารสเปนกลุ่มต่างๆ ที่ก่อความวุ่นวายขึ้น ซึ่งมีการทำข้อตกลง Pacification of Grent ในวันที่ 8 พฤศจิกายน หลังเหตุการณ์วุ่นวาย โดยสเปนต้องถอนทหารออกไป

1577 สถานการณ์ทางการเงินของสเปนดีขึ้นในช่วงปลายปี นั้นทำให้เสปนเสริมกำลังทหารใหม่จากอิตาลี โดยมีผู้บัญชาการคือ Alexander Farnese, Duke of Parma เขานำกำลังทหารไปร่วมกับ State-General และทำสงครามในสมรภูมิ Battle of Gembloux ในวันที่ 31 มกราคม 1578 นั้นทำให้ทหารเสปนสามารถยึดเมือง Leuven ได้ แต่ทว่าต่อมาในการรบที่ Rijmenam สเปนเป็นฝ่ายแพ้

1579 สเปนภายใต้รัฐบาลใหม่ของ Alexander Farnese ได้ถอนตัวจากข้อตกลงตาม Pacification of Ghernt เนื่องจากพวก Calvinism และบางจังหวัด อ่าง  Artois,Hainault,Walloon Flanders ยังคงมีการปะทะกับทหารสเปนอยู่

Union of Arras and Utrecnt

Union of Arras ลงนามในวันที่ 6 มกราคม 1579 โดยนายกรัฐมนตรีใหม่ของสเปน Alexander Farnese,Duke of Parma กับกลุ่ม Calvinism และจังหวัดทางใต้บางส่วน ได้แก่ Artois,Hainault,Walloon Flanders โดยยังคงยืนยันในข้อตกลง Pacification of Grent และสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อกษัติรย์เสปนต่อไป และไม่ต้องการประกาศเอกราช

หลังจากนั้น William จึงได้ตอบโต้ข้อตกลงนี้ โดยการทำข้อตกลง Union of Utrecht ในวันที่ 23 มกราคม 1579 โดยร่วมกันลงนามระหว่างจังหวัด Holland,Zeeland, Utrecht,Guelders,Groningen, และเดือนต่อมา Braband,Flanders ได้ให้การรับรองด้วย ซึ่งเป็นการประกาศว่าทั้ง 7 จังหวัดนี้ไม่รับรองอำนาจเหนือกว่าของสเปนอีกต่อไป Union of Utrecht นี้ได้ถือว่าเป็นการสถาปนาสาธารณรัฐใหม่ Republic of the Seven United Provinces ในทางปฏิบัติ

1579-1588

Act of Abjuration

ลงนามในวันที่ 26 กรกฏาคม 1581 เป็นการประกาศเอกราชอย่า่งเป็นทางการของ Low Countries [Brabant,Gelre,Vlaanderen,Holland,Zeeland,Friesland,Mechelen,Utrecht]

1585-1609

United Province

ได้รับความช่วยเหลือทั้งจากฝรั่งเศสและอังกฤษ ก่อนหน้านี้พระราชินีอลิซาเบธ แห่งอังกฤษนั้นได้ให้การช่วยเหลืออย่างไม่เป็นทางการ เพราะว่าไม่ต้องการทำสงครามโดยตรงกับสเปน แต่เมื่อกลุ่มแคธอลิกในฝรั่งเศสได้ทำสัญญากับสเปน ในการกำจัดชาวโปแตสแตนต์ในฝรั่งเศสแล้ว ทำให้พระราชินีอลิซาเบธ ตัดสินใจส่ง Earl of Leicester พร้อมด้วยทหาร ห้าพันนายเพื่อไปปกป้องเนเธอแลนด์ แต่ว่า Ealr of Leicester นั้นไม่มีความสามารถในการปกครอง เขาขัดแย้งกับชาวดัตช์เสียเองทำให้สูญเสียการสนับสนุนในหมุ่ประชาชน จนต้องเดินทางกลับอังกฤษState-General ซึ่งไม่รู้ว่าจะหาใครมาปกครองดินแดน จึงได้แต่งตั้ง Mauric of Orange ซึ่งเป็นลูกชายของ William มาเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพดัตช์  Mauric มีอายุเพียง 20 ปี 

7 กันยายน 1589 กษัตริย์ Philip II แห่งสเปน ได้สั่งให้นายพล Parma นำกำลังไปขัดขวาง Henry of Navarre ไม่ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศส

[1609-1621]

เป็นช่วงเวลา 12 ปีแห่งความสงบสุข ระหว่าง United Provinces กับสเปน โดยที่มีฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นตัวกลาง
[1621-1648]

การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่หาสามารถหาข้อยุติได้ สเปนต้องการให้แคธอริกในดินแดนทางเหนือของเนเธอแลนด์ได้มีอิสระภาพทางศาสนา ดัตซ์ตอบโต้ด้วยการเรียกร้องสิทธิอย่างเดียวกันให้กับชาวโปแตสแตนต์ในดินแดนเนเธอแลนต์ตอนใต้ นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายยังมีปัญหาเรื่องเส้นทางการค้าไปยังดินแดนตะวันออกไกลและสหรัฐอเมริกา ทำให้สเปนนั้นตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้ายึดดินแดนตอนเหนือ ในขณะที่ดัชต์ก็ตอบโต้ด้วยกองทัพเรือยึดเส้นทางการค้าของสเปน

1622  สเปน โจมตีเมือง Bergen op Zoom แต่ถูกขับไล่กลับออกมา

1625 Muaric  เสียชีวิต ทำให้ดัตซ์ซึ่งขาดผู้นำไม่สามารถปกป้องเมือง Breda จากกองทัพสเปนได้ ฝ่ายสเปนนั้นนำมาโดยนายพล Ambrogio Spinola

1929 Frederick Henry น้องชายของ Muaric ซึ่งได้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทหารต่อจากพี่ชาย สามารถเข้ายึดเมือง ’S-Hertogenbosch เอาไว้ได้ มันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในตอนเหนือของ Bradant  มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของสเปน ตอนนั้น  Philip IV ได้ยืนข้อเสนอที่จะเจรจาสันติภาพโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ว่า State-General ปฏิเสธที่จะเจรจาจนกว่ากองทัพสเปนจะออกจากดินแดนดัตช์

1632 Frederick Henry ยึดเมือง Venlo,Roermond และเมือง Maastrint แต่พอปีต่อมาเขาไม่สามารถยึดเมือง Antwerp และ Brussles ได้

1639 สเปนส่งกองทัพเรือ พร้อมด้วยทหารกว่า 20,000 นาย แต่ว่ากลับฝ่ายแพ้ให้กับกองทัพชาวดัตช์ในการรบที่ดาวน์ส (Battle of thee Downs) มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางทะเลของสเปน ณ.เวลานั้น

1648 ในวันที่ 30 มกราคม 1648 สงครามที่ยาวนานสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ จากการลงนามสนธิสัญญามุนส์เตอร์ (Treaty of Munster) ระหว่างสเปนและเนเธอแลนด์  Ducth Republic ได้รับการรับรองเป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการ มันประกอบไปด้วยจังหวัด Holland,Zeeland , Utrecht, Guelders, Overrijssel, Friesland และ Groningen ในตอนนั้นแต่ละจังหวัดส่งผู้แทนของตัวเองมาเจรจากับสเปน ต่อมามีการลงนามในสนธิสัญญษ Peace of Westphalia ในเดือนตุลาคม 1648 ระหว่างสาธารณรัฐใหม่กับ Holy Roman และสวีเดน ซึ่งเป็นการยอมรับเอกราชของเนเธอแลนด์อย่างเป็นทางการจากประเทศมหาอำนาจทั้งสองในตอนนั้นด้วย ดินแดนของ Dutch Republic นี้ มีขนาดที่เล็กกว่าดินแดนเดิมตอนที่ยังเรียกว่า Habsburg Netherlands โดยเสียส่วนที่เป็นดินแดนทางใต้ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์กไป และหลังจากเป็นประเทศเกิดใหม่ได้ 4 ปี สาธารณรัฐเนเธอแลนด์ทำสงครามครั้งแรกกับอังกฤษ ในปี 1652

Don`t copy text!