Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Belle Boyd

อิสเบลล่า บอยด์ (Isabella Marie Boyd)
สายลับของฝ่ายใต้ ผู้เขียน Belle Boyd in Camp and Prison
เธอถูกรู้จักในชื่อเบล์ล บอย์ด เป็นสายของฝ่ายใต้ (Confederate spy) ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ (American Civil War, 1861-1865)
บอยด์ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม  1844 ในหมู่บ้านชื่อเชนันเดาห์ (Shenandoah Valley) มาร์ตินสเบิร์ก, เวอร์จิเนีย (Martinsburg, Virginia) เธอเป็นลูกคนโต พ่อของเธอชื่อเบนจมิน รีด (Benjamin Redd) และแม่ชื่อมารี บอยด์ (Mary Rebecca Boyd) ครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน 
1856 เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีเมานท์วอชิงตันคอลเลจ (Mount Washington Female College, Baltimore) ในบัลติมอร์
1861 เมื่อเกิดสงครามในสหรัฐฯ พ่อของเธอถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารราบ ที่ 2 ของเวอร์จิเนีย (2nd Virginia Infantry Regiment)  หน่วยที่เขาสังกัดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลโธมัส (General Thomas Jackson) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยเชนันเดาห์ (Shenandoah army)
กรกฏาคม, หลังการรบที่ฮุกส์ รัน (battle Hooks Run) ทหารของฝ่ายยูเนี่ยน (Union army) หรือฝ่ายเหนือได้ยึดมาร์ตินสเบิร์กเอาไว้ได้ 
เล่ากันว่าชีวิตการเป็นสายลับของบอยด์ เริ่มขึ้นเมื่อมีทหารของฝ่ายเหนือที่เมาเหล้า ได้บุกเข้ามาค้นในบ้านของเธออ อ้างว่าเพราะได้รับข่าวว่าเธอมีธงของฝ่ายใต้เก็บซ่อนเอาไว้ แต่เมื่อไม่พบ พวกเขาก็กลับเอาธงฝ่ายตนเองมาแขวนไว้หน้าบ้านเธอแทน ทั้งยังสบประมาทแม่ของเธอ บอยด์จึงได้หยิบปืนออกมาแล้วยิงเข้าที่ทหารคนหนึ่งของฝ่ายเหนือเสียชีวิต
ต่อมาคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาสอบสวนไม่เอาผิดเธอ แต่ว่าฝ่ายเหนือได้ส่งเจ้าหน้าที่มาคอยติดตามดูพฤติกรรมของเธอ ทำให้บอยด์ได้มีโอกาสพูดคุยและล้วงเอาความลับของฝ่ายเหนือ โดยเฉพาะจากกัปตันแดเนียบ (Captain Daniel Keily) ซึ่งชอบเธอ 
บอยด์ส่งข้อมุลให้ฝ่ายใต้ทราบโดยผ่านทาสของเธอที่ชื่อ อลิซ่า โฮปเวล์ล (Eliza Hopewell) ไปให้กับนายพลเจป สเตราต์ (General Jeb Stuart) ของฝ่ายใต้
1862 ระหว่างที่นายพลเจมส์ ชิลด์ (General James Shields) และทหารของเขาเข้ามาพักในโรงแรมในเมือง บอยด์ได้แอบฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันว่าจะมีการส่งทหารจากตะวันออกของเวอร์จิเนียเข้ามา บอยด์จึงได้แอบส่งข่าวให้พันโททูร์เนอร์ (Colonel Turner Ashby) ฝ่ายใต้จึงได้ส่งทหารมาดักซุ่มโจมตีทหารฝ่ายเหนือระหว่าง  วีรกรรมของเธอครั้งนี้ทำให้เธอได้รับเหรียญ Southern Cross of Honor
29 กรกฏาคม, บอยด์ถูกจับ และวันถัดมาถูกนำไปขังในเรือนจำโอล์ดแคปิตอล (Old Capital Prison) ในวอชิงตัน ดี.ซี.
29 สิงหาคม, เธอได้รับการปล่อยตัว โดยการแลกตัวกับนักโทษฝ่ายเหนือที่ถูกจับตัวเอาไว้
1863 6 ธันวาคม, พ่อของเธอเสียชีวิต
1864 เธอเดินทางมาอังกฤษ และได้แต่งงานกับ ซามูเอล ฮาร์ดินจ์ (Samuel Wylde Hardinge) ทหารเรือของฝ่ายเหนือ
ในอังกฤษเธอยึดอาชีพเป็นนักแสดง
1866 สามีของเธอเสียชีวิต , บอยด์ยังคงใช้ชีวิตในอังกฤษต่อไปลำพัง และระหว่างนี้ได้เขียนหนังสือบันทึกความทรงจำ Belle Boyd in Camp and Prison แบ่งออกมาเป็น 2 เล่ม
1869 บอยด์เดินทางกลับมาอาศัยในสหรัฐฯ และแต่งงานกับจอห์น แฮมมอนด์ (John Swainston Hammond) นักธุรกิจชาวอังกฤษและเคยเป็นทหารของฝ่ายเหนือย พวกเขาไปอาศัยอยู่ในนิวออร์ลีนส์
1885 บอยด์ได้หย่ากับสามีในปีก่อนหน้า และปีนี้ได้แต่งงานใหม่กับนาธาเนียล ไฮห์ (Nathaniel Rue High) 
บอยด์ใช้ชีวิตที่เหลือเดินทางไปทั่วประเทศและบรรยายเกี่ยวกับชีวิตของเธอขณะเป็นสายลับช่วงสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ให้คนทั่วไปฟัง
1900 11 มิถุนายน, เธอเสียชีวิตในวัย 56 ปี ด้วยอาการหัวใจวาย ในวิสคอนซิน ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่สุสานสปริงโกรฟ (Spring Grove Cemetery)

เธอได้รับฉายาว่า Cleopatra of the Secession และ Siren of the Shenandoah
Don`t copy text!