ราชินีแห่งชีบา (Queen of Sheba)
เชื่อกันว่าพระองค์เป็นพระราชินีแห่งอะซัม (Axum) ในเอธิโอเปีย (Ethiopia) หรือว่าอาจจะเป็นอาณาจักรซาบา (Kingdom of Saba) ในเยเมน(Yemen) หรือว่าทั้งสองแห่ง
เอธิโอเปีย ราชินีแห่งชีบา ถูกเรียกว่า มาเกด้า (Makeda)
ในขณะที่ชาวมุสลิมอ้างอิงพระนางว่าเป็นราชินีแห่งดินแดนทางใต้ (queen of the south) ซึ่งทรงมีพระนามว่า บิลกิส (Bilkis)
ตำนานของเอธิโอเปีย เล่าว่าพระราชินีทรงตามหาสัจธรรมและปัญญา เมื่อพระองค์ได้ฟังคำบอกเล่าจากพ่อค้าชื่อ ตามริน (Tamrin) ที่เดินทางไปค้าขายถึงเยรูซาเล็ม ก็ทรงทราบว่ากษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลเป็นผู้ฉลาด ราชินีชีบา จึงได้เดินทางมายังเยรูซาเรมด้วยขบวนอูฐ พร้อมกับขนอัญมณี ทองคำมาด้วยจำนวนมาก และยังมีกำยาน (frankincense) ซึ่งเป็นของหายากในยุคนั้นมีปลูกแค่เพียงในดินแดนของพระนางเท่านั้น
กษัตริย์โซโลม่อนนั้นก็ได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับดินแดนของราชีนีชีบา ตำนานเล่าว่าปีศาจเกรงว่ากษัตริย์โซโลมอนจะอภิเษกกับพระราชีแห่งชีบาจึงได้กระจายข่าวลือว่าเกี่ยวกับราชีนีชีบาว่าเท้าซ้ายของพระนางมีลักษณะเหมือนเท้าแพะ มีขนปกคลุม ความสงสัยทำให้กษัตริย์โซโลม่อนสั่งให้มีการถูพื้นพระราชวังที่จะใช้ต้อนรับราชินีชีบาให้เงาจนใสเหมือนกระจก แต่ว่าเมื่อราชินีชีบาเสด็จมาจริงๆ นั้น กษัตริย์โซโลม่อนทอดพระเนตรเห็นเงาของเท้าแพะแค่แว๊บเดียว ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นเท้าที่ปกติ
ราชินีแห่งชีบาได้ทดสอบความเฉลียวฉลาดของกษัตริย์ของโซโลมอนด้วยการถามหลายข้อ ซึ่งคำตอบชองกษัตริย์โซโลมอนทำให้พระนางพอพระทัย กษัตริย์โซโลมอนยังได้เล่าเรื่องพระเจ้าที่พระองค์นับถือ คือ ยะหเวห์ (Yahweh) จนทำให้ราชินีแห่งชีบาเลื่อมใสและหันมานับถือยูดาห์
พระราชินีแห่งชีบาอาศัยอยู่ในวังของกษัตริย์โซโลมอนในฐานะแขก โดยที่มีเงือนไขกับกษัตริย์โซโลมอนว่าพระองค์จะต้องไม่แตะต้องตัวของพระนาง ซึ่งกษัตริย์โซโลมอนมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน โดยห้ามไม่ให้พระราชินีแห่งชีบาแตะสิ่งของใดของพระองค์
แต่แล้วคืนหนึ่ง ปล่อยให้ราชินีแห่งชีบาหิวน้ำ จนพระนางต้องไปหยิบแก้วใส่น้ำมาดื่ม แล้วกษัตริย์โซโลมอนก็ปรากฏตัวออกมาประกาศว่าพระนางได้ผิดจากที่เคยตกลงกันไว้ หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์ก็ร่วมบรรทมไปด้วยกัน ในคืนนั้นกษัตริย์โซโลมอนก็นอนฝันเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหนืออิสราเอล ก่อนที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องจากชาวยิว พระอาทิตย์จึงเปลี่ยนไปขึ้นที่เอธิโอเปียและโรมแทน
ก่อนที่ราชินแห่งชีบาจะเสด็จกลับ ทรงได้รับแหวนวงหนึ่งจากกษัตริย์โซโลมอน
เมื่อพระราชินีแห่งชีบากลับมายังอาณาจักรของพระนางเอง ก็ทรงตั้งครรภ์ และเมื่อเจ้าชายองค์น้อยประสูติมา ก็ได้พระนามว่า ไบนา-เลห์เคม (Baina-lekhem) หรือภายหลังเรียกกันว่า เมเนลิก (Menelik)
ซึ่งเมื่อเมเนลิกโตขึ้น ก็ทรงอยากพบพระบิดา จึงได้เดินทางมายังเยรูซาเล็มพร้อมกับแหวนที่พระบิดาเคยให้พระมารดาเอาไว้
เมื่อไปถึงเยรูซาเล็ม เมเนลิกได้รับการต้องรับอย่างสมเกียรติ และได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์โดยนักบวชชื่อซาด๊อก (Zadok) เมเนลิกได้รับชื่อใหม่ว่าเดวิด (David)
เมื่อเดวิดจะเดินทางกลับเอธิโอเปีย กษัตริย์โซโลมอนได้มีรับสั่งให้ลูกชายคนโตของขุนนาง และลูกชายคนโตของนักบวชทุกคนต้องติดตามเดวิดกลับมาเอธิโอเปียด้วย ซึ่งมีลูกชายของนักบวชคนหนึ่งได้ขโมยอาร์ค (the Ark of Covenant) ซึ่งใช้เก็บบัญญัติ 10 ประการออกจากวิหารในเยรูซาเล็ม เพราะได้รับคำสั่งจากอาซาร์ยัส (Azaryas) หัวหน้าคณะเดินทางซึ่งอ้างว่าได้รับบัญชาจากเทพสวรรค์ เมื่อเดินทางมาจนถึงทะเลแดง อาซาร์ยัสจึงได้บอกกับเดวิดว่าอาร์คอยู่กับพวกเขา เดวิดโกรธแต่เมื่อทราบว่าเป็นประสงค์ของเทพเจ้าเขาก็น้อมรับ เดวิดได้ตั้งจิตอธิษฐานต่ออาร์ค ซึ่งอาร์คจึงได้แสดงปาฏิหารย์ทำให้คณะเดินทางข้ามทะเลแดงที่มีพายุและภยันตรายมากมายมาได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทราบว่าอาร์คถูกขโมยไปก็ตั้งทหารมาติดตาม แต่เมื่อไม่อาจจะได้อาร์คคืนมา พระองค์ก็สั่งให้มีการสร้างอาร์คเลียนแบบของจริงตั้งเอาไว้ในวิหารแทนของจริงที่สูญหาย เพื่อไม่ให้ชาติอื่นดูถูกอิสราเอลได้ว่าทำของศักดิ์สิทธิ์หายไป
เมื่อเดวิดกลับมายังเอธิโอเปีย พระราชินีแห่งชีบาก็สละราชฯ และเดวิดก็ได้สถาปนาราชวงศ์โซโลมอนขึ้นในเอธิโอเปีย
ชาวเอธิโอเปีย เชื่อกันว่า the Ark of Covenant ยังถูกเก็บรักษาที่วิหารเซนต์แมรี่ (the Catherdral of St.Mary of Zion) ในเมืองเอซัม (Axum)