Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Diego Rivera

ดิเอโก ริเวร่า (Diego Maria de la Concepcion Juan Neponuceno Extanislao de la Rivera y Barrientos Acosta y Rodriguez) 
หนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะ Mexican muralism 
ริเวร่า เกิดวันที่ 8 ธันวาคม 1886  ในกวนนาจัวโต, เม็กซิโก (Guannajuato, Mexico)  พ่อของเขาชื่อดิเอโก้ (Diego Rivera Acosta) และแม่ชื่อมาเรีย (María del Pilar Barrientos) 
เขามีพี่น้องฝาแฝดคนหนึ่งชื่อคาร์ลอส (Carlos) แต่ว่าเสียชีวิตไปตอนที่พวกเขาอายุสองปี
1892 ครอบครัวย้ายมาอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ 
เมื่อเขาอายุ 10 ปี ริเวร่าก็ตัดสินใจที่จะเป็นศิลปิน เขาจึงเข้าเรียนภาคค่ำที่สถาบันซาน คาร์ลอส (Academy of San Carlos) 
1898 เข้าเรียนในภาคปกติของสถาบันซาน คาร์ลอส 
เขาเปิดการแสดงผลงานครั้งแรกภายในสถาบัน
เพราะความขัดแย้งกับผู้อำนวยการของสถาบัน ริเวร่าจึงได้ออก
ช่วงเวลานี้พ่อเขาซึ่งทำงานอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข และได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วประเทศ ได้นำเอาภาพวาดของริเวร่า ไปให้ทีโอโดโร่ เดเฮสา (Teodoro Dehesa) ผู้ว่าของเวรา ครูซ (Vera Cruz) ชม ซึ่งผู้ว่ามีความชื่นชอบในผลงานของริเวร่า จนกระทั้งให้ทุนสนับสนุนเขาให้เดินทางไปศึกษาต่อในยุโรป  
1907 ริเวร่าออกเดินทางมายังบาร์เซโลน่า, สเปน และได้เข้าเรียนการวาดรูปกับจิตกรชื่อชิชาร์โร่ (Chicharro) 
ชีวิตในปารีส เขาได้มีมีโอกาสได้ดูพัฒนาการของศิลปะแบบคิวบิซึ่ม (Cubism) ในยุคเริ่มแรก ซึ่งนำโดยปิคาสโซ่ (Pablo Picasso) และบร๊าก (Georges Braque)  แต่ว่าริเวร่าเองได้สนใจศึกษาแนวโพสต์อิมเพรสซั่นนิซึ่ม (Post-Impressionism) โดยได้รับอิทธิพลจากพอล ซีซานเน่ (Paul Cézanné) 
1910 Mexican Revolution
1911 แต่งงานกับแองเจลิน่า (Angelina Beloff) 
1920 เขาออกจากฝรั่งเศสและมายังอิตาลีเพื่อศึกษาศิลปะเพิ่มเติม ตามคำแนะนำของอัลเบอร์โต้ ปานี (Alberto J. Pani) ทูตเม็กซิโกประจำฝรั่งเศส ซึ่งในอิตลาลี ริเวร่าได้ศึกษาการเขียนภาพแบบเพรสโก้ (frescoes) ซึ่งเป็นการเขียนภาพลงบนพื้นปูนที่ยังเปี๊ยก 
1921 เดินทางกลับเม็กซิโก  และได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีศึกษาธิการโจเซ่ (José Vasconcelos) ในเวลานั้น ที่สนับสนุนศิลปินให้สร้างผลงานแบบมูรัล (mural) ซึ่งเป็นการเขียนภาพลงบนผนัง
1922 แต่งงานกับกัวดาลูเป้ (Guadalupe Marín) 
ปีนี้เขบามีส่วนในการร่วมก่อตั้งสหภาพการปฏิวัติของแรงงานช่างเทคนิค (the REvolutionary Union of Technical Workers) และเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เม็กซิโก (Mexican Communist Party)
1926 เป็นสมาชิกของลัทธิโรซีครูเซียน (the Ancient Mystical Order Rosae  Crucis, Rosicrucian Order)  ที่ก่อตั้งโดยฮาร์เวย์ เลวิส (Harvey Spencer Lewis)
1927 เดินทางมามอสโคว์ ในโอกาส 10 การปฏิวัติตุลาคม (October Revolution)  ของโซเวียต ตามคำเชิญของรัฐบาลโซเวียต  ริเวร่ายังได้มีโอกาสในการวาดภาพเพื่อตกแต่งคลับของกองทัพแดงในมอสโคว์ด้วย
1928 เขาถูกขับไล่ออกจากโซเวียตก่อนที่จะทำงานตกแต่งคลับในโซเวียตเสร็จในข้อหาต่อต้านโซเวียต เขาจึงเดินทางกลับเม็กซิโก
1929 ถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เม็กซิโก
ปีนี้นักเขียนชาวอเมริกัน เออร์เนสติน อีวาน (Ernestine Evans) เขียนหนังสือ The Frescoes of Diego Rivera ออกมา ซึ่งเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกเกี่ยวกับริเวร่า หนังสือทำให้ศิลปะเม็กซิกันมูรัลของริเวร่ากลายเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตก 
1930 ได้รับการว่าจ้างจากสถาปนิก ทิโมธี พีฟัวเจอร์ (Timothy L. Pflueger) ให้ไปวาดภาพตกแต่งบ้านของเขาในซานฟานซิสโก  หลังจากนั้นเขาก็ได้รับงานอีกหลายแห่งในแคลิฟอร์เนีย 
1931 สร้างผลงานภาพชุด Detroit Industry ให้กับสถาบันศิลปะดีทรอยต์ (Detroit Institute of Arts) 
1933 เขียนภาพ Man at the Crossroads ให้กับศูนย์ร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Center) ในนิวยอร์คซิตี้  ซึ่งสะท้อนมนุษย์ที่ถูกควบคุมด้วยเครื่องจักร แต่ว่าภาพเขียนนี้เขาเขียนภาพของวลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ลงไปด้วย เขาถูกสั่งให้ลบเลนินออกจากภาพแต่เขาปฏิเสธ สุดท้ายเขาจึงถูกสั่งให้ยุติการวาดก่อนที่ผลงานจะเสร็จ  และผลงานถูกรื้อออกไป 
ริเวร่ามีเพียงภาพถ่ายขาวดำของผลงานเหลืออยู่ ซึ่งเขาได้วาดภาพสี้ขึ้นมาใหม่ในเม็กซิโก โดยใช้ชื่อ Man, Controller of the Universe
1940 ได้รับการจ้างจากพีฟัวเจอร์ให้เดินทางมาวาดรูปในสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งเวลานี้เขามีผลงานอย่าง Pan American Unity

1957 24 พฤศจิกายน, เสียชีวิตในเม็กซิโกซิตี้
Don`t copy text!