Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Hammurabi

ฮัมมูราบี
กษัตริย์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์บาบิโลน , มีชื่อเสียงจากการตรากฏหมายฮัมมูราบี (Code of Hammurabi) 
เนื่องจากเวลาในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ชัดเจน นักประวัติศาสตร์ได้มีการเสนอช่วงเวลาที่ฮัมมูราบี ทรงเริ่มขึ้นครองราชย์ออกมาเป็น 3 แบบที่ต่างกัน โดยเรียกว่าเป็น High, Middle และ Low โดยนับเวลาตั้งแต่ขึ้นครองราชย์  ในปี 1848, 1792, 1728 ตามลำดับ 
จาก “Middle”  (Chronology of the ancient Near East) ฮัมมูราบี ประสูตรปี 1810 ก่อนศริสต์กาล  พระองค์เป็นชาวอโมไรต์ (Amorites) ชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งในซีเรียซึ่งพูดภาษาเซไมต์ (Semitic language)  
ฮัมมูราบีเป็นโอรสของกษัตริย์ ซิน-มูบัลลิต (Sin-Muballit) กษัตริย์แห่งบาบิโลน โดยไม่ปรากฏว่าพระมารดาชื่ออะไร ,   พระองค์มีพระขนิษฐาชื่ออิลตานิ (Iltani) ซึ่งต่อมาฮัมมูราบีแต่งตั้งให้พระนางไปดูแลวิหารซามาส (temple of Samas)
ชื่อฮัมมูราบี เป็นชื่อแบบชาวอโมไรต์ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการ บางคนอ่านว่า “Hammu-rabi” ที่แปลว่า “Ancestor is great” (ผู้มีบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่)  ในขณะที่นักวิชาการอีกส่วนหนึ่งอ่านว่า “Hammu-Rapi” ที่แปลว่า “Ancestor-Healer”
1792 BC ฮัมมูราบี ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา ขณะมีพระชน 18 พรรษา บาบิโลนขณะนั้นเป็นเพียงดินแดนเล็กๆ ที่ประกอบขึ้นจากเมือง ซิปปาร์ (Sippar), คิช (Kish) , กูต้า (Kuta), บอร์ซิปปา (Borsippa), ดิลบัต (Dilbat) และมารัต (Marad)
บาบิโลนอยู่ติดกับดินแดนข้างเคียงอย่างแอสซีเรีย (Assyria) , แอสเฮอร์ (Ashur), เอสนันน่า (Eshnunna), อีแลม (Elam) , ลาร์ซา (Larsa)
บาบิโลนเป็นพันธมิตรกับแอสซีเรีย ของกษัตริย์ชามชิ-เอแดด ที่ 1 (Shamshi-Adad I) 
  ซึ่งในปีที่ฮัมมูราบีครองราชย์นี้ กษัตริย์ริม-ซิน (Rim-Sin) แห่งลาร์ซา  ได้บุกเข้ายึดเมืองไอซิน (Isin) เมืองซึ่งปกติเป็นเหมือนเขตกันชนระหว่างบาบิโลนกับลาร์ซา ทำให้กษัตริย์ทั้งสองพระองค์กลายเป็นอริกัน
1785 BC สามารถยึดเมืองอูเรก (Urek), เมืองไอซิน มาจากลาร์ซาได้ 
1779 BC การสวรรคตของกษัตริย์ดาดุชิ (Dadushi, Eshnunna King)  แห่งเอสนันน่า ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบาบิโลนกับ Shamshi-Adad I แห่งแอสซีเรียเสื่อทรามลง
แต่ว่าเมื่อเอสนันน่าได้กษัตริย์องค์ใหม่เป็น (Ibarra-Pi-EL)  , ทั้งสามประเทศก็กลับมาจับมือกันเป็นพันธมิตรเหมือนเดิม และได้ร่วมกันโจมตีมัลเยี่ยม (Malgium)
1775 BC ชามชิ-เอแดด ที่ 1 แห่งแอสซีเรีย สวรรคต  , กษัตริย์ซิมริลิม (Zimrilim) แห่งมาริ (Mari) พันธมิตรเก่าของบาบิโลน ได้เปลี่ยนไปเป็นพันธมิตรกับอีลาไมเตส (Elamites)
1772 BC สุรุคุ (Surucu) จับมือเป็นพันธมิตรกับ เอสนันน่า และบุกเมืองราตาม่า (Ratana) ของบาบิโลน แต่ว่าบาบิโลนสามารถเอาชนะและขับไล่ผู้รุกรานออกไปได้
1767 BC กษัตริย์ชีฟ-ปาลาร์-คุปปัก (Siwe-palar-khuppak) แห่งอีแลม เป็นพันธมิตรกับบาบิโลนในการทำสงครามกับเอสนันน่า แต่ว่าทหารอีแลมเมื่อยึดเอสนันน่าได้แล้ว ฮัมมูราบียื่นคำขาดให้อีแลมถอนทหารออกจากเมืองเอสนันน่าเพราะอ้างว่าเป็นเจ้าของเมืองดังกล่าว ทำให้บาบิโลนกับอีแลมบาดหมางกันจนเป็นสงคราม
1764 BC บาบิโลนเปิดสงครามใหญ่ กับพันธมิตรระหว่าง แอสเฮอร์ (Ashur), เอสนันน่า (Eshnunna), อีแลม (Elam) ดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำไทกรีส (Tigris). เพื่อเปิดทางไปยังอิหร่านซึ่งเป็นแหล่งผลิตเหล็กที่สำคัญ สงครามครั้งน้ำทำให้อีแลมพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด
1763 BC เอาชนะและยึดลาร์ซาได้สำเร็จ และทำสงครามกับเอสนันน่า อีกครั้ง 
1762 BC มาทำสงครามกับดินแดนตะวันออกอีกครั้ง 
1761 BC ทำสงครามกับมาริ
1754 BC ประกาศกฏหมาย Code of Hammurabi ซึ่งถือเป็นประมวลกฏหมายแรกของโลกที่บันทึกไว้เป็นอักษรที่ชัดเจน 
1750 BC สวรรคต , และพระโอรส ซัมซุ-อิลุน่า (Samsu-Iluna) สืบราชสมบัติสืบมา

1897 ฌาก ดี มอร์แกน (Jacques de Morgan) นักโบราณคดีฝรั่งเศสทำการขุดเมืองซูซ่า (Susa)ในอิหร่านปัจจุบัน และค้นพบก้อนหินบะซอลต์สีดำ (Basel stele) ซึ่งจารึก Code of Hammurabi เอาไว้
Don`t copy text!