Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

James K. Polk

เจมส์ น็อกซ์ โพลก์ (James Knox Polk)
ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของสหรัฐฯ
โพลก์ เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน 1795 ในไพน์วิลล์, นอร์ท คาโรไลน่า (Pineville, North Carolina) พ่อของเขาเป็นเกษตรกรชื่อ่ซามูเอล (Samuel Polk, 1772-1827) และแม่ชื่อเจน (Jane Knox, 1776-1852) มีเชื้อสายสก๊อต พวกเขาแต่งงานกันในปี 1794 และโพลก์เป็นลูกคนแรกจากทั้งหมดสิบคนของครอบครัว เจนตั้งชื่อโพลก์ ตามชื่อพ่อของเธอคือ เจมส์ น็อกซ์ (James Knox)   ครอบครัวนี้เป็นคริสต์เพรสไบทีเรียน (Presbyterian) แต่ว่าโพลก์ไม่ได้เข้าพิธีรับศีลแบ๊พติส เพราะว่าพ่อของเขาปฏิเสธที่จะกล่าวคำสาบานในพิธีดังกล่าวด้วย
ซามูเอลเป็นเกษตรกรที่มีฐานะร่ำรวย เขามีที่ดินกว่า 3000 เอเคอร์และมีทาส 53 คน
วัยเด็กเขาเรียนหนังสืออยู่กับบ้านโดยที่แม่ซึ่งเคยเป็นครูเป็นผู้สอนหนังสือ 
1806 เมื่อโพลก์อายุ 11 ปี ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ในมัวรีคันที, เทนเนสซี (Maury County, Tennessee) ใกล้กับแม่น้ำดัก (Duck River) และซามูเอลได้เป็นผู้พิพากษาและสมาชิกสภา
1812 โพลก์มีสุขภาพไม่แข็งแรงตั้งแต่ยังเล็ก เขาเคยป่วยด้วยอาการของนิ่วในกระเพาะปัสสสาวะทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัด จากหมอวอลเตอร์ (Walter R. Borneman) แต่นั่นทำให้เขาต้องกลายเป็นหมัน
1813 ตอนอายุ 18 เขาเรียนในโรงเรียนครั้งแรก ที่สถาบันเพรสไบทีเรียน (Presbyterian academy) ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้บริหารกิจการโดยนิกายไซออนนิกายไซออน (Zion Presbyterian Church) ทำให้โพลก์เข้าเป็นสมาชิกของนิกายนี้ไปด้วย 
แต่ว่าต่อมาได้ย้ายมาเรียนที่สถาบันแบรดลีย์ (Bradley Academy)
1816 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า (University of North Carolina, Chapel Hill) โดยเรียนทางด้านคณิตศาสตร์และภาษา โดยขณะนั้นมหาวิทยาลัยมีขนาดเล็กและมีนักเรียนเพียง 80 คน
1818 สำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนเกียรตินิยม และหลังจากเรียนจบได้เดินทางกลับไปเทนเนสซีเพื่อฝึกงานด้านกฏหมายกับเฟริกซ์ กรันดี (Felix Grundy) ซึ่งเป็นอัยการ
1819 ได้รับเลือกตั้งให้เป็นเสมียนของวุฒิสภาของรัฐเทนเนสซี (Tennessee State Senate) 
ช่วงเวลานี้สหรัฐฯ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Panic of 1819) ซึ่งเป็นวิกฤตครั้งแรกทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ 
1820 ได้เป็นสมาชิกของสภาทนายความของเมืองเนสเนสซี และคดีแรกที่โพลก์ว่าความก็เป็นคดีที่มีคนฟ้องร้องพ่อของเขา ซึ่งโพลก์ช่วยให้ชนะคดีมาได้
1821 ได้รับเลือกกลับมาเป็นเสมียนของวุฒิสภาอีกครั้ง
1822 ตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่ง ส.ส. ของสภาผู้แทนรัฐเทนเนสซี (Tennessee House of Representatives) 
1823 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ของเทนเนสซี โดยช่วงนี้เขาให้การสนับสนุนทางการเมืองกับ แจ็คสัน (Andrew Jackson)  จนโพลก์ได้รับฉายาว่า Young Hickory เพราะว่า ปธน.แจ็คสัน มีฉายาว่า Old Hickory
1824 1 มกราคม, แต่งงานกับซาราห์ (Sarah Childress) 
1825 ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ในสภาผู้แทนของสหรัฐฯ (U.S. House of Representatives)
1828 แจ็คสันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
1835 โพลก์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาผู้แทนฯ 
1839 โพลก์ลงสมัครชิงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐเทนเนสซี และได้รับการเลือกตั้ง
1841 ลงสมัครรับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเทนเนสซีต่ออีกหนึ่งสมัยแต่ว่าเขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง และแพ้อีกครั้งหนึ่งในปี 1843
1844 ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี คนที่ 11 ของสหรัฐฯ ในวัย 49 ปี ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐฯ โดยระหว่างการหาเสียงเขาใช้สโลแกน  “54-40 or fight” ซึ่งเป็นสโลแกนที่ต้องการให้สหรัฐฯ​ ทำสงครามเพื่อขยายดินแดน โดย 54-40 หมายถึงเส้นละติ 54˚40’ ซึ่งเป็นพรหมแดนระหว่างรัสเซียอลาสก้าของรัสเซียกับโอเรก้อนคันทรี (Oregon Country) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สหรัฐฯ และอังกฤษต่างอ้างกรรมสิทธิ
1845 จอห์น โอซิลลิแวน (John L. O’Sulllivan) นักหนังสือพิมพ์ได้เขียนบทความ Annexation  ลงในแม็กกาซีน the Democratic Review เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผนวกเอาสาธารณรัฐเท็กซัส (Republic of Texas) และโอเรก้อน คันทรี (Oregon Country บริเวณรัฐโอริก้อน, วอชิงตัน, ไอดาโฮ, และบางส่วนของมอนตาน่าและไวโอมิ่งปัจจุนบัน) ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนซึ่งสหรัฐฯ และอังกฤษบริหารร่วมกัน  โดยอ้างเหตุผลที่เขาประดิษฐ์คำขึ้นว่า “manifest destiny” ซึ่งเขานิยามว่าสหรัฐฯ มีโชคชะตาที่ได้รับมาจากพระเจ้า ในการเผยแพร่ค่านิยมหรือแนวคิดของประเทศตัวเอง ให้ผู้อื่นทำตาม
1845 สาธารณรัฐเท็กซัสถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนของสหรัฐฯ  ซึ่งหลังจากผนวกเท็กซัสแล้ว โพลก์ได้ส่งจอห์น สลิเดลล์ (John Slidell) เป็นทูตไปเจรจาของซื้อแคลิฟอร์เนียจากเม็กซิโก ในราคา 30 ล้านดอลล่า
1846 ผ่านกฏหมายให้มีการจัดตั้งสถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution)
13 พฤษภาคม, เกิดสงครามสหรัฐฯ – เม็กซิโก (Mexican American War, 1846-1848)  เมื่อโพลก์ส่งกองทัพนำโดยนายพลฯ เทยเลอร์ (General Zachary Taylor) เข้าไปในฉนวนนนูเซส (Neuces Strip) บริเวณริโอแกรนเด (Rio Grande) และแม่น้ำนูเซส (Neuces River) ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าเป็นพรหมแดนของเท็กซัส  แต่ว่าถูกฝังเม็กซิโอขับไล่ออกมา  ปธน.โพลก์จึงใช้เหตุการณ์นี้อ้างต่อรัฐสภาเพื่อให้ประกาศสงครามกับเม็กซิโอ
1848 สหรัฐฯ​เสนอที่จะซื้อคิวบา (Cuba) จากสเปนในราคา 100 ล้านเหรียญ แต่ว่าสเปนปฏิเสธ สหรัฐฯ จึงได้ส่งนายพลโลเปซ (General Narciso Lopez) นำกองทัพเพื่อบุกยึดคิวบา แต่ว่าล้มเหลว
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพลก์ยึดสัญจะที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในอีกสมัย
1849 15 มิถุนายน, เสียชีวิตภายในบ้านพักที่แนชวิลล์ (Nashville) ซึ่งก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคมโพลก์ได้ออกเดินทางเยือนดินแดนที่สหรัฐฯ ผนวกเข้ามา แต่ว่าเขาเกิดล้มป่วยระหว่างอยู่ในนิว ออร์ลีนส์ โดยคาดว่าอาจจะติดเชื้ออหิวาห์ ทำให้ต้องยุติการทัวร์กระทันหัน
พิธีศพของเขาถูกจัดขึ้นที่โบสถ์แม็กเคนดรี (McKendree Methodist Church) ในแนชวิลล์

Don`t copy text!