เซอร์เกย์ แรชแมนิน๊อฟ (Сергей Васильевич Рахманинов)
คอมโพสเซอร์
แรชแมนิน๊อฟ เกิดวันที่ 1 เมษายน 1873 ทางตอนเหนือของนอฟโกร๊อด (Novgorod) ในครอบครัวของขุนนางชั้นสูง ที่มีเชื้อสายตาตาร์ (Tatar) บรรพบุรุษของเขาสืบเชื้อสายมาจาก สตีเฟ่น ที่แห่ง 3 มอลดาเวีย (Stephen III of Moldavia)
พ่อของแรชแมนิน๊อฟชื่อวาสิลี (Vasily Arkadievich Rachmaninoff, 1842-1916) เป็นทหาร และแม่ชื่อลัวบอฟ (Lyubov Petrovna Butakava) ทั้งคู่มีลูกชายสามคนและลูกสาวสามคน แรชแมนิน๊อฟนั้นเป็นลูกคนที่สี่
ทั้งพ่อและแม่นั้นชอบดนตรีและเป็นนักเปียโนสมัครเล่น แม่เป็นคนที่สอนแรชแมนิน๊อฟเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเล็ก จนกระทั้งพออายุสี่ขวบ แม่ก็จ้างแอนนนา (Anna Ornatskaya) มาเป็นครูฝึกสอนเปียโนอยู่ที่บ้าน
แรชแมนิน๊อฟเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก โดยที่พ่อและแม่ของเขาซื้อชอบเล่นเปียโนเป็นคนที่คอยพลักดัน
1882 เมื่อเขาอายุราว 9 ปี ครอบครัวประสบปัญหาทางการเงิน เพราะพ่อติดการพนัน จนต้องขายบ้านและย้ายไปอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งที่นี่แรชแมนิน๊อฟก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนดนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersburg Conservatory)
1883 ครอบครัวย้ายมาอยู่ในมอสโคว์
1888 เข้าเรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีมอสโคว์ (Moscow Conservatory) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ที่โรงเรียนนี้แรชแมนิน๊อฟได้มีโอกาสเรียนดนตรี กับเซอร์เกย์ ตาเนเยฟ (Sergey Taneyev) และแอนตัน อเรนสกรี้ (Anton Arensky)
นอกจากนั้นแรชแมนิน๊อฟ ตอนอายุ 13 ปี (1890) ยังได้มีโอกาสรู้จักกับปีเตอร์ ทไชคอฟสกี้ (Peter Ilyich Tchaikovsky) เป็นครั้งแรก ที่โรงเรียนนี้
1892 พฤษภาคม, จบจากโรงเรียนดนตรีมอสโคว์ โดยที่แรชแมนิน๊อฟมีผลงานเขียนละครโอเปล่าเรื่อง “Aleko” เป็นผลงานจบ ซึ่งดัดแปลงมาจากบทกวี The Gypsies ของอเล็กซานเดอร์ พุชกิ้น (Alexander Pushkin) ซึ่ง Aleka ถูกเปิดการแสดงครั้งแรกที่โรงละครบอลชอย (The Bolshoi Theatre) ในวันที่ 19 พฤษภาคม
และในปีนี้เขาก็มีผลงานประพันธ์เพลง “Prelude in C Sharp Minor” ออกมา ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเขาในชั่วข้ามคืน
1893 แรชแมนิน๊อฟ ได้ทำงานเป็นครูสอนดนตรีที่โรงละครมาริอินสกี้มอสโคว์ (Moscow Mariinsky) และไม่นานก็ย้ายมาสอนที่วิทยาลัยเซนต์แคทเธอรีน (St.Catherine’s woemn’s College) และที่สถาบันอลิซาเบธ (Elizabeth Institute)
ประพันธ์ดนตรี Trio élégiaque No. 2 เพื่อระลึกถึงทไชคอฟสกี้ที่เสียชีวิต
1897 15 มีนาคม, การเปิดการแสดงซิมโฟนีครั้งแรก (Symphony No.1) ของตัวเองในมอสโคว์ ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับในแง่ลบ ซึ่งทำให้เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไม่ได้สร้างผลงานใดๆ อีกนานกว่าสามปี
1900 มีผลงาน Piano Concerto No.2 ซึ่งอุทิศให้กับนิโคไล ดาห์ล (Nicholai Dahl) แพทย์ที่ช่วยรักษาอาการป่วยทางจิตใจของเขาจนกลับมามีความมั่นใจในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่อีกครั้ง
1902 12 พฤษภาคม, แต่งงานกับนาตาเลีย (Natalya Satina) ซึ่งต่อมาพวกเขามีลูกสาวด้วยกันสองคนชื่ออิริน่า (Irina Sergeievna Rachmaninova, b.1903) และทาเทียน่า (Tatiana Sergeievna Rachmaninova, b.1907)
1904 ได้รับรางวัล Glinka Award จากผลงาน Piano Concerto No.2
ปีนี้เขาตกลงมาทำงานเป็นวาทยากรในโรงละครบอลชอย (Bolshoi Theatre) ซึ่งสัญญาตกลงกันที่สองซีซั่น ซึ่งที่โรงละครบอลชอยนี้แรชแมนิน๊อฟสร้างผลงานโอเปล่า เรื่อง The Miserly Knight และเรื่อง Francesca da Rimini ออกมา
1906 เพราะปัญหาทางสังคมและการเมืองในช่วงเวลานั้น ก่อนและหลังการปฏิวัติ 1905 (1905 Revolution) ทำให้แรชแมนิน๊อฟลาออกจากงานที่โรงละครบอลชอยก่อนจะจบซีชั่นที่ 2
พฤศจิกายน, เขาพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เดรสเดน (Dresden, Germany) ในเยอรมัน ซึ่งในช่วงเวลานี้เขายังมีโอกาสไปเปิดการแสดงเปียโนในสหรัฐฯ และแคนาดาด้วย
1909 กลับมายังรัสเซีย และปีนี้ได้เดินทางไปเปิดคอนเสิร์ตที่สหรัฐฯ 10 รอบ
1910 กุมภาพันธ์, กลับจากการทัวร์คอนเสิร์ตที่สหรัฐฯ และได้รับตำแหน่งรองประธานสมาคมดนตรีหลวง (Imperia Russian Musical Society)
1912 ลาออกจากแหน่งในสมาคมดนตรีหลวง และพาครอบครัวไปพักผ่อนที่สวิสฯ แต่ว่าต่อมาลูกสาวของเขาเกิดล้มป่วยด้วยไทฟอย์ด ทำให้เขาพาลูกสาวไปรักษาตัวที่เยอรมันเพราะเชื่อมันในหมอที่นั่นมากว่า และหลังจากลูกสาวของเขาหายดีแล้ว แรชแมนิน๊อฟก็เดินทางกลับรัสเซีย
1917 แรชแมนิน๊อฟอพยพออกจากรัสเซียหลังการปฏิวัติตุลาคม (October Revolution) โดยเดินทางไปยังสวีเดน และต่อมายังเดนมาร์ก ซึ่งการจากรัสเซียในครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางกลับมาอีกเลย
1918 พฤศจิกายน, เดินทางมาถึงนิวยอร์ก ซึ่งชีวิตในอเมริกาของเขาประสบความสำเร็จและสร้างความร่ำรวยให้เขาเป็นอย่างมากจากการเปิดการแสดงดนตรี
1932 แรชมานิน๊อฟ สร้างคฤหาสน์หลังหนึ่งไว้ในสวิสฯ ชื่อว่า “Villa Senar” ซึ่งมาจากชื่อของเขา, ภรรยา, และนามสกุล
1941 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (the Great Patriotic war) แรชแมนิน๊อฟ เปิดการแสดงคอนเสริต์หลายครั้ง เพื่อหาเงินส่งให้กับกองทัพแดง (the Red Army) แม้ว่าแรชแมนิน๊อฟนั้นจะไม่ได้ชอบบอลเชวิค หรือคอมมิวนิสต์ แต่ว่าเขามีความภูมิในความเป็นรัสเซียอย่างมาก ในสหรัฐฯ เขาแทบจะไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติเลย เขาเลือกที่จะแวดล้อมตัวเองในหมู่ชาวรัสเซีย แต่เมื่อบ้านเมืองเผชิญกับสงคราม เขาก็พยายามสนับสนุนและอวยพรให้กองทัพแดงประสบชัยชนะ
1942 ย้ายมาอยู่ในแคลิฟอร์เนีย
1943 28 มีนาคม, เสียชีวิตในแคลิฟอร์เนีย จากโรคมะเร็ง โดยที่ร่างของเขาถูกบรรจุในหีบเหล็กและฝังไว้ที่สุสานเคนซิโก้ (Kensico Cemetery) ในนิวยอร์ค แต่ว่าแรชแมนิน๊อฟนั้นมีความปรารถนาที่จะให้นำร่างของเขากลับรัสเซีย แต่ความปรารถนานี้ยังไม่บรรลุผล