Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Nestor Makhno

 

เนสเตอร์ แมก์คโน (нестор иванович махно,Nestor Ivanovich Makhno)

Makhno (Mikhno หรือ Mikhnevich) เกิดในหมุ่บ้านกุลเยย โพล (Gulyay Pole) ในเขตเอคาเธอริโนสลาฟ (Ekaterinoslav Region) ในปี 1888 27 ตุลาคม ( 8 พฤศจิกายน ปฏิทินปัจจุบัน) ในครอบครัวชาวประมงที่มีฐานะยากจนมาก โดยเขาเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คน มีเรื่องเล่ากันว่าผ้าที่พระใช้คลุมร่างเขาในพิธีศีลจุ่มเมื่อตอนเด้กนั้น เกิดติดไฟขึ้นมา

 แต่ในบันทึกของพ่อของเขาเอง บอกว่าลูกชายเกิดในปี 1889 ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันประจำในหมู่รัสเซียเพื่อให้ลูกชายได้เข้าเป็นทหารช้าลง

ชีวิตของแมก์คโน ตั้งแต่วัยเล็กอยู่ด้วยความยากลำบากเพราะว่าพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียงสิบเดือน ตอน 8 ขวบเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมของโบสถ์ใกล้บ้าน เป็นเวลา 4 ปี ระหว่างนี้เขาเกิดหลงไหลการเล่นเสก็ต และหลายครั้งที่ออกจากบ้านไปโรงเรียนในตอนเช้าพร้อมหนังสือ แต่ว่าไม่ได้เข้าเรียน แต่ใช้เวลาไปเล่นเสก็ต และขาดเรียนเป็นอาทิตย์ เมื่อแม่ของเขาทราบผลการเรียนที่แย่ของลูกชายก็ลงโทษด้วยการตีด้วยไม้เรียว จนเขานั่งไม่ได้เป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นแมก์คโน ก็กลายเป็นนักเรียนที่่ขยันมาก ในฤดูหนาวเขาไปเรียนที่โรงเรียน แต่พอฤดูร้อนเขาจะทำงานให้กับเจ้าของที่ดินแถบนั้นโดยเป็นคนเลี้ยงแกะ และต้อนวัว ช่วงเวลาหลังจากเลิกเรียนเขาจะทำงานเป็นผู้ช่วยของช่างไม้ พออายุได้ 12 ปีเขาก็ออกจากโรงเรียนถาวร

ตอนอายุ 16 ปี เนสเตอร์ ทำงานใหักับบริษัทภาพยนต์ที่ตั้งใหม่ในเมือง ซึ่งเบื้องหลังให้การสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวที่เรียกว่า  สหภาพคนจนผู้ปลูกขนมปัง (the union of poor bread growers)  ซึ่งอ้างความเท่าเทียมกันในสังคม ทำการปล้นสดมภ์คนมีอันจะกิน ที่กลุ่มนี้มองว่าไม่สมควรได้รับ แล้วก็นำเอาของที่ปล้นได้ไปจากให้คนจน คล้ายๆ กับโรบิน ฮูด  

ในปี 1906 กลุ่มหัวรุนแรงของเยาชนแห่งนี้ถูกจับ แต่ว่าตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานอะไรได้ และเนสเตอร์ก็ถูกปล่อยตัว แต่ว่าปีต่อมากลุ่มนี้ได้ก่อเหตุรุนแรงและฆ่าคนตายหลายคน แม้ว่าเนสเตอร์อาจจะไม่ได้ฆ่าใคร แต่เขาก็อาจจะมีความผิดในฐานะเป็นสมาชิก คอยสนับสนุน และมีโทษถึงแขวนคอ ทว่าเขาได้ทำเอกสารปลอมที่แสดงว่าอายุน้อยเกินกว่าที่กฏหมายจะเอาผิดสูงสุด ทำให้ได้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี แทน แมก์คโน ถูกนำตัวมาขังในเรือนจำบุเตอร์สกายา (Butyrskaya prison) ในกรุงมอสโคว์ เป็นเวลา 6 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นเขาใช้เวลาในการอ่านหนังสือ เรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยสนใจงานรัสเซียคลาสสิคและวรรณกรรมร่วมสมัย เขาเริ่มเขียนบทกวี ซึ่งนั้นไม่ได้ทำให้นิสัยที่รุนแรง กร้าวร้าวของเขาหายไป ในเรือนจำแห่งนี้เขาได้พบกับบุคคลที่เป็นจ้าวตำหรับนิยมความรุนแรง เพิร์ต อาชีนอฟ (มาริน, Pert Arshinov (Marin)) ซึ่งปลูกฟังทัศนคดิเกลียดชั่ง ให้กับเขา ภายในคุก แมก์คโน่ ติดเชื้อวัณโรค ปอดเขาติดเชื้อจนกระทั้งแพทย์เรือนจำผ่าทิ้งไปข้างหนึ่ง
2 มีนาคม 1917 แมก์คโน่ และ อาชินอฟ ถูกปล่อยตัวออกจากคุก เพราะการปฏิวัติในเดือนกุมภาพันธ์

แมก์คโน่ เดินทางกลับบ้าน และได้แต่งงานกับสาวชาวนาคนหนึ่ง นาส์ตย่า วาเสตสกาย่า (Nastya Vasetskaya) ซึ่งนางมาเยี่ยมเขาและเป็นธุระให้ระหว่างที่เขาอยู่ในคุก พวกเขามีลูกชายด้วยกันแต่ว่าเสียชีวิตตั้งแต่วัยทารก นั้นทำให้ชีวิตแต่งงานทั้งคู่สิ้นสุดไปด้วย  แมก์คโน่กลับไปเกี่ยวของกับองค์กรที่เคลื่อนไหวของชาวนายากจนอีก ได้เป็นหัวหน้าของสหภาพชาวนาหลายแห่ง (Peasonts’ union) หลังจากนั้นกลายมาเป็นหัวหน้าของแผนกโซเวียตแรงงานและชาวนา (Soviet of Workers and Peasants) และต่อมาได้หเป็นหัวหน้าของคณะกรรมการเดินหน้าการปฏิรูป (Committee for saving the revolution) 

ช่วงหลังการปฏิวัติครั้งที่ 2 ตุลาคม 1917 แมก์คโน่ ออกคำสั่งในนามโซเวียตเพื่อปฏิรูปที่ดิน โดยการยึดเอาที่ดินทั้งหมดมาเป็นของรัฐ และจัดสรรใหม่ แมก์คโน่ ไม่เห็นด้วยกับสนธิสัญญา Brest Treaty เขาบอกว่ามันเป็นความน่าละอาย ซึ่งยูเครนตกลงเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน เขาจึงออกจากยูเครนและมุ่งหน้าไปมอสโคว์  เขาได้พบกับเลนิน , ยาคอฟ สเวิร์ดลอฟ (Yakov Sverdlov) และ ฟิลิกซ์ ดีเซอร์ชินสกี (Feliks Dzerzhinsky)  ซึ่งกลายมาเป็นขบวนการเดียวกัน ไม่นานแมก์คโน่ ก็กลับมายังยูเครน ซึ่งเขาได้รับหน้าที่ในการสร้างความวุ่นวายในยูเครนและปลุกให้เกิดสงครามประชาชน ภายหลังแม้แต่ตัวแมก์คโน่เอง ก็บันทึกความขัดแย้งเอาไว้ในใจเกี่ยวการปฏิวัติบอลเชวิค “พวกนั้นไม่ใช่พรรคการเมือง…เป็นเพียงกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยใช้แนวคิดรุนแรง … ทำลายประชาชนที่ทำมาหากิน” ดังที่บันทึกไว้ในไดอารี่ของเขา [there are no parties , there are only bunches of chariatans who for the sake of personal profit and extreme senstaions … destroy the working people]

ที่ยูเครนเขากลับเข้าไปยังเมืองกุลเยย โพล โดยใช้เอกสารปลอมเพื่อเข้าไปเป็นครูในโรงเรียน และที่นี่เขาก็เริ่มปลุกสงครามโดยชาวนา ภายใต้ธงสีดำ ตอนนี้เขารู้ว่าพี่ชายของเขาถูกทหารออสเตรียยิงตายไปคนหนึ่ง และทรมารคนทึีเหลือจนกระทั้งเสียชีวิต ส่วนบ้านของเขาถูกเผาเป็นเถ้า

กลุ่มของเขามีสมาชิกเริ่มแรกราว 40 คน แต่ประสบความสำเร็จในการก่อเหตุรุนแรงหลายครั้ง และโจมตีฐานทหารเยอรมันในปี 1918 ประสบความสำเร็จ  ทหารเยอรมันบันทึกไว้ว่าถูกโจมตีโดยชาย 118 คน นั้นทำให้สมาชิกของเขาเพิ่มมากขึ้น โดยมีชาวนาชาวประมง และกลุ่มอนาธิปไตยเคียฟ ก็เข้าร่วมกับเขา เขาแบ่งกำลังให้เคลื่อนไหวเป็นหลายกลุ่มย่อย เพื่อให้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่อยู่เป็นแหล่ง มีปืนไรเฟิ้ลจำนวนหนึ่ง และเลิกปล้นสดมภ์คนท้องถิ่น ตอนนั้นมีคนหนึ่งหมื่น ถึงหมื่นห้าที่รวมในกองกำลังของเขา เขาเริ่มทำหนังสือพิมพ์ ชื่อ บัตก้า (Bat’ka คำเรียก “พ่อ” สั้นๆ จาก батюшка บาตุชก้า) เพื่อกระจายอุดมการณ์ไปในหมู่ชาวบ้าน ซึ่งนิยมเรียกกันว่า บัตก้าแมก์คโน่

ความปั่นปวนในยูเครนดำเนินไป การก่อการร้าย และฆ่าฟัน เหตุเพราะมีหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศนี้ ทั้งกองทหารเยอมัน ที่เข้ามาครอบครอง กองทัพขาวที่ต่อต้านการปฏิวัติของบอลเชวิค กองทัพแดงที่สนับสนุนบอลเชวิค และยังมีกลุ่มชาวนาหลายกลุ่มที่จับอาวุธขึ้นเองเป็นแก๊งค์ กองทัพของแมก์คโน่ ทำสงคราม สร้างความเกลียดชัง ต่อผู้ปกครอง กษัติรย์ ผู้นำกองทัพขาว ฝ่ายตรงข้ามของเขาถูกสังหารโดยไร้ความปราณี แม้แต่นักบวชยังถูกโยนลงในหม้อน้ำของรถจักรทั้งเป็น จนตาย

ต่อมาแม้ต่อกับแกนนำบอลเชวิคแล้ว  แมก์คโน่ก็ไม่ชอบขี้หน้า และเขาก็ลงโทษพวกนี้ไม่ต่างกับการจับศัตรูกลุ่มอื่นได้นอกเสียจากทหารที่ถูกเกณท์มาในกองทัพแดง เขาจะเห็นว่าเป็นพี่น้องรากหญ้า เขาเป็นคนหัวรุนแรงสุดกู่ แต่ว่าก็มีแนวคิดของตัวเอง บางเรื่องเขาก็ไม่เห็นด้วยกับบอลเชวิค เช่นการสร้างความขัดแย้งระหว่างชนชาติ เพราะเขาเชื่อเรื่องความเสมอภาคของเผ่าพันธ์ การฆ่าล้างชาวยิวโดยอ้างว่าเป็นการปกป้องการปฏิวัติ แต่นั้นเป็นความคิดแย้งกันในใจของเขา มันไม่ได้ถูกพิสูจน์ และกองกำลังของเขาก็เดินหน้ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามไม่หยุดหย่อน 

ธันวาคม 1918 ทหารของแมก์คโน่ ร่วมกับกำลังของฝ่ายบอลเชวิค สามารถยืดเมืองคาเตอริโนสลาฟ เอาไว้ได้ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางใต้ของรัสเซียในเวลานั้น แมก์คโน่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนในเมืองแล้วประกาศ ห้ามการปล้นสดมภ์ และสร้างความรุนแรงภายในเมือง เขาจะสังหารทุกคนที่ทำการลักขโมยและก่อความรุนแรง   การต่อสู้ของแมก์คโน่ อย่างกองโจรนี้มีส่วนช่วยในการปลดปล่อยหลายเมืองในยูเครนจากเยอรมัน ทั้งไครเมีย แวรงเกิล ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บในการรบหลายหลัง เขาร่วมต่อสู้โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพแดงหลายสมรภูมิ แต่ว่าก็ขัดแย้งกับบอลเชวิคหลายครั้ง แม้แต่ทร็อตสกี (Trotsky)  ก็ไม่ชอบเขาและเริ่มโฆษณาโจมตีเขา ที่ทำตัวเป็นกำลังอิสระ มากกว่าที่จะฟังคำสั่งเหมือนทหารในกองทัพ

1919 เขาแต่งงานใหม่กับอกาฟย่า คุซเมนโก้ (Agafya Halyna Kuzmenko) พวกเขามีลูกสาวด้วยกัน ชื่อ เยเลน่า (Yelena) ผู้หญิงทั้งสองถูกจับตัวไปเข้าค่ายกักกันนาซีในช่วงสงครามโลก ต่อมาค่ายนี้ตกเป็นของโซเวียต จนหลังสตาลินเสียชีวิต พวกเจาจึงได้รับอิสระภาพในปี 1953 และไปอาศัยอยู่ในคาซัคสถาน 

25 พฤษภาคม 1919 สหภาพแรงงานและชาวนาแห่งยูเครน ไล่เขาออกจากตำแหน่ง และการต่อสู้ในสมรภูมิที่เปเรกอฟ (Perekop) หนึ่งในจุดที่นองเลือดที่สุดในยูเครน ทหารของแมก์คโน่และกองทัพแดงรบกันเอง กองทัพแดงได้รับคำสั่งจากทร็อตสกีให้สั่งทหารพวกแมก์คโน่ ซี่งเสียชีวิตไปกว่า 5 พันคน แมก์คโน่เองตอนนั้นรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพราะบาดเจ็บจากการปะทะก่อนหน้านี้ แมก์คโน่บ้าครั้ง และต่อสู้กับกำลังทุกหน่วยจากรัสเซียอย่างดูเดือด ไม่ว่า จะเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่โซเวียต เชก้า ถ้าถูกจับได้จะถูกทรมานและสังหารอย่างเหี้ยมโหด หรือนำตัวไปประหารในที่สาธารณะ นั้นทำให้ภาพแมก์คโน่ในตำราเรียนของโซเวียตเป็นคนป่าเถื่อนแบบสุดสุด แต่ว่าหลังจากกองทัพขาวฝ่ายแพ้ลง กองทัพของแมก์คโน่แม้ว่าจะดำเนินการรบต่อไป แต่ทหารของแมก์คโน่จำนวนมาก็เปลีี่ยนไปเข้าร่วมกับกองทัพแดง

แมก์คโน่เอง หนีไปรวมเข้ากลับกลุ่มชาตินิยมยูเครนที่อยู่ในเสมยอน เปตยูร่า (Semyon Petlyura) แต่ทว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือบอลเชวิคหมดแล้ว ไม่นานพวกเขาก็แพ้ แมก์คโน่และผู้ติดตามจำนวนเล้กๆ หนี่ไปยังเบสสาราเบีย ในประเทศโรมาเนีย (Bessarabia, Romania) จากนั้นก็ไปโปแลนด์ แมก์คโน่ติดคุกอยู่ในโปแลนด์ช่วงเวลาสั้นๆ และเคยร่วมกลุ่มกับพวกต่อต้านโปแลนด์ด้วย ก่อนที่จะหนีไปปารีส 

ที่ปารีส กลายเป็นสวรรค์ใหม่ของแมก์คโน่ เขาชวนเชื่อความคิดแบบอนาธิปไตยฝ่ายช้ายอีกครั้ง ออกพูดในที่สาธารณะ และดำรงชีพด้วยเงินสนับสนุนจากคนที่นิยมเขา ทำงานเป็นช่างทาสี หรือพนักงานหลังเวที ช่วยหยิบจับสิ่งของในโรงละครของปารีส เขาเสียชีวิตในโรงพยาบาลเพราะวัณโรค ในกรุงปารีส ปี 1934 ร่างของเขาถูกทำพิธีในสุสานแพร์ ลาเชียร์ (Pere Lachaise) โดยมีคนกว่าห้าพันคนร่วมพิธี


 

Don`t copy text!