Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Nikolay Ostrovsky

นิโคไล ออสตรอฟสกี (николай островский)เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1904 ในหมู่บ้านวิลิย่า (Viliya) ในยูเครน (Ostrozhsky District, Rovno region)  พ่อของเขา อเล็กซี อีวานโนวิช(Алексея Ивановича Островского) ทำงานเป็นแรงงานตามฤดูกาล มีรายได้น้อยนิดไม่พอจุนเจือครอบครัว ทำให้แม่และน้องสาวต้องช่วยกันทำงานเป็นแรงงานในไร่หรือไม่ก็งานก่อสร้าง ส่วนพี่ชายของเขาไปทำงานเป็นช่างทำกุญแจ ครอบครัวของเขา และชีวิตในวัยเด็กของออสตรอฟสกี อยู่ในภาวะที่สุดจะบรรยายในความยากลำบาก นั้นเป็นการปลูกฝังแนวคิดการต่อต้านชนชั้นที่เหนือกว่า การถูกเหยียดหยามความเป็นมนุษย์และความไม่ยุติธรรมในสังคม เขาถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนของนักบวช และจบจากโรงเรียนนี้ตอนอายุ 9 ขวบในปี 1913 ตอนอายุแค่เก้าขวบออสตอฟสกี ก็ต้องทำงานเป็นแรงงานในไร่ คอยดูแลแกะ ออสตรอฟสกีอายุ 11 ปี ก็ต้องมาทำงานเป็นคนงานในห้องครัว ที่สถานีรถไฟในเมืองเชเปตอฟก้า ปี 1915 ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ทีเ่มืองเชเปตอฟก้า (Shepetovka) ซึ่งแม่ของเขามาทำงานเป็นแม่ครัวที่สถานีรถไฟ ซึ่งแม้กระทั้งในห้องครัวของทางการ เด็กน้อยก็ได้รู้สึกถึงการคอร์รัปชั่นและเอารัดเอาเปรียบกันเองของมนุษย์ ช่วงทำทำงานในห้องครัวนี้ เขามีโอกาสได้ยินคำปราศรัยขอเลนิน และอุดมการณ์ของเขา ออสตรอฟสกี ได้รับการจ้างให้ทำงานในห้องครัวในปี 1916 ระหว่าง 1915-1917 เขาเข้าเรียนที่ two-class จากนั้นจบเรียนชั้นประถมระหว่างปี 1917-1919 เชเปตอฟก้า เมื่องที่เขาอาศัยอยู่นี้อยู่ใกล้กับพรหมแดนโปแลนด์ ซึ่งบางที่มันก็ผลัดเปลี่ยนอำนาจ ตกอยู่ใต้การยึดครองของเยอรมัน โปแลนด์ กองทัพขาว หรือกองทัพแดง เขาผ่านสงครามโลก การปฏิวัติบอลเชวิค และสงครามการเมืองในรัสเซีย ซึ่งทุกอย่างมีอิทธิพลต่อแนวความคิดของเขาและมันก็ปรากฏในงานเขียน

  ปี 1918 เขาร่วมต่อสู้กับพวกบอลเชวิค เพื่อต่อต้านโปแลนด์และเยอรมันที่ต้องการยึดเมืองที่เขาอาศั

 ปี 1919 มีบางบันทึกประวัติศาสตร์บางเวอร์ชั่น เขียนเอาไว้ว่า ออสตรอฟสได้เข้าเป็นอาสาสมัครในการรบแนวหน้าของทหารกองทัพแดงกับกองทัพขาว  ซึ่งถ้าเป็นเช่นใน20 กรกฏาคม 1919 เขาเข้าเป็นสมาชิก Komsomol และ 9 สิงหาคม ก็ออกรบในสมรภูมิ โดยร่วมกับหน่วยทหาร 1st Cavalry ของนายพลโกโตฟสกี ( G.I. Kotovsky) ในฤดูใบไม้ผล 1920 เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แผ่นหลัง และสูญเสียตาข้างขวาไป จนถูกนำตัวออกจากสนามรบ

 ปี 1921 ออสตรอฟสกี เข้าเรียนที่ Kiev Electromechanical Technical Secondary School ทว่าเรียนได้เพียงปีเดียวก็ต้องลาออกเนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ออสตรอฟสกีได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเคลื่่อนไหวของพวกปฏิวัติ ระหว่างที่เขายังอยู่ในโรงเรียนช่างนี้ เขาได้ไปทำานเป็นช่างไฟฟ้าในการก่อสร้างทางรถไฟ ไปยังชานเมือง โดยทางรถไฟนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ขนฝืนเข้าไปยังเมืองเคียฟ ปรากฏว่าเขาติดโรคไข้รากสาด (typhus) จากการที่กระโดดลงไปในน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็งเพื่อจะเก็บเอาไม้ซุงที่ตกลงไป เขาหมดสติไปในตอนนั้นและต้องถูกแบกกลับไปบ้าน

 ปี 1924 ด้วยความเชื่อว่าบอคเชวิคจะสามารถนำความเท่าเทียมและความมั่งคั่งให้กับประเทศได้ เขาได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในปีนี้ และกลายเป็นหัวหน้าของยุวชนคอมมิวนิสต์แห่งยูเครน (Young Communist League in Ukraine)  แม้ว่าจะพยายามที่จะช่วยงานในการสร้างโซเวียตที่เขาใฝ่ฝันอย่างดีที่สุด แต่ว่าสุขภาพของเขาเองไม่เอื้ออำนวย และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเข้าโรงพยาบาลเสียมากกว่า แต่ว่าการรักษาเขาด้วยยาและการฝ่าตัด ไม่ได้ช่วยให้เขามีอาการดีขึ้น ล้วนเปล่าประโยชน์ ปี 1926-1928 ออสตรอฟสกี เดินทางไปยังเมืองโนโวรอสสิิย่าส์ก (Novorossiysk) ในแถบไครเมีย ที่นี่เข้าไปพบกับภรรยาของเขา ซึ่งมีอายุ  19 ปี ชื่อ ไรซ่า มัท์สยุก (Raisa Matsyuk) แต่ว่าความสุขในชีวิตของเขาแทบไม่มีเลย ในเมื่อสุขภาพของเขาแย่ลงผิดปกติของคนในวัยหนุ่มเพี่ยง 23  ปี ตัวเขาเองนั้นแทกรุกขึ้นจากเตียงยังไม่ได้ และอาการป่วยสร้างแต่ความเจ็บปวดให้เขาตลอดเวลา เขาใช้เวลาบนเตียงในการอ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม เขาเขียนไว้ในจดหมายว่า “ทางร่างกายราวกับว่าได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้ว แต่ว่าพลังแห่งความเป็นหนุ่มและความปรารถนาเป็นความหวังที่ทำให้เขายังคงอยู่"   ไม่นานโรคร้ายก็ทำลายดวงตาของเขา จนทำให้มองไม่เห็นอีก ออสตรอฟสกี มีชีวิตอยู่ได้ เพราะกำลังใจจากคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนและญาติ พวกเขาแนะนำให้เขาเขียนหนังสือ  1927 งานเขียนของเขาเรื่องแรก A Tale of Kotovsah (Повесть о котовцах)สูญหายไประหว่างที่ถูกส่งไปยังสำนักพิมพ์และไม่เคยได้ถูกนำออกเผยแพร่เลยสักครั้ง

 1930  เขาสร้างตัวละครหนุ่มที่เหมือนกับเขา ซึ่งฉบับสนุนการอุดมคติของโซเวียต ในปลายปีนี้ หนังสือ ”Как закалялась сталь,How the Steel was Tempered“ จึงได้ถูกเขียนขึ้น ในตอนแรกเขาพยายามที่จะเขียนมันขึ้นเองด้วยอุปกรณ์ที่เขาประดิษฐ์เอง ที่เรียก "Stencil(трафарета)” แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่มีแรงแม้แต่จะจับประคองเจ้าดินสอพิเศษนี้ทำให้ต้นฉบับ How the Steel was Tempered ถูกเขียนด้วยลายมือของเพื่อนๆ ของเขากว่า 19 คน ตอนแรกของหนังสือ ถูกส่งไปยังมอสโคว์ในปี 1931 ให้กับบรรณาธิการหนังสือแมกกาซีน The Young Guard  (Молодая гвардия,) แม้ว่าบรรณาธิการหนังสือจะไม่ค่อยชอบที่ตัวละครเอกดูเป็นจินตนาการมากเกินไป แต่มันก็ได้รับการรับรองจากฝ่ายชวนเชื่อของโซเวียตแล้ว 

เมษายน 1932 , How the Steel was Tempered ถูกพิมพ์ลงในแมกกาซีน ครั้งแรก

พฤศจิกายน 1932 , How the Steel was Tempered จึงได้รวมเป็นเล่มแบบนวนิยาย ตัวเอกของเรื่องเด็กหนุ่มชื่อ ปาเวล กอร์ชากิน (Pavel Korchagin) คล้าย และเป็นประสบการณ์ในชีวิตจริงของออสตอรฟสกีนั้นเอง กอร์ชากิน สนับสนุนฝ่ายโซเวียตในสงครามกลางเมือง หนังสือได้รับความนิยมแทบจะทันที่ เพราะมันจับต้องหัวใจของประชาชนและหนุ่มสาวในตอนนั้นที่อยู่ท่ามกลางวิกฤตในสังคมจริงๆ   ตลอดที่ นิโคไล ออสตรอฟสกี มีชีวิตอยู่นั้น มันถูกพิมพ์ซ้ำถึง 41 ครั้ง ยิ่งเมื่อผู้อ่านทราบว่าคนเขียน คือชายพิการตาปอด ที่ป่วยหนักมากแล้ว ทำให้ออสตรอฟสกีได้รับเกียรติ “ฮีโร่” ของสหภาพโซเวียต

1935 ออสตรอฟสกี ได้รับรางวัล Lenin Order เกียรติสูงสุดเท่าที่โซเวียตจะมอบให้ประชาชนสักคนหนึ่งได้แล้ว  เขากล่าวในวันรับรางวัลต่อสมาชิกและสตาลินว่า

[ผมถูกสร้างขึ้นมาจากคอมโซมอลและอุดมการของพรรค , ตราบเท่าที่หัวใจของผมยังมอบชีวิตให้ผมอยู่นั้น ผมของอุทิศให้กับการศึกษาแบบบอลเชวิคที่จะสั่งสอนคนรุ่นหลัง ถึงแผ่นดินแม่อันเป็นสังคมนิยม  , I have been reared by the Komsomol, the Party’s faithful assistant, and as long as my heart beats my life will be devoted to the Bolshevik education of the young generation of our Socialist Motherland. ]

และยังเขียนจดหมายไปบอกเพื่อนว่า [ ชีวิตเป็นอะไรที่… ใครจะจิตนาการได้ว่าชีวิตของเขาท้ายที่สุดแล้วจะมีความสุข ผมไม่ได้ต้องการที่จะตาย แต่ถ้าต้องตายในตอนนี้ขอตายบนเวทีละครมากกว่าในสวนหลังบ้าน What a Life ! who could ever have quessed that the end of my life would be so happy? i do not want to die, but if it suddenly happens i would die on action station, not on invalid backyard. ]

โซเวียตตอบแทนออสตรอฟสกี ด้วยการมอบอพาร์ตเม้นหลังใหม่ใจกลางมอสโคว์ให้เขา และออสตรอฟสกีได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเดือนธันวาคม 1935 นอกจากนั้นยังได้บ้านพรรคอีกหลังในโซชิ (Sochi) สำหรับพักตากอากาศ ซึ่งเขาเดินทางไปพำนักในฤดูร้อนของปี 1936

ปี 1936 ในโซชิ เขาเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ Born of the Storm (Рождённые бурей)จนแล้วเสร็จในวันที่ 15 ธันวาคม 

นิโคไล ออสตรอฟสกี เสียชีวิตในอีกอาทิตย์ถัดมา หัวใจเขาหยุดเต้น เมื่อ 22 ธันวาคม 1936 ร่างของเขาถูกนำกลับมาประกอบพิธีในมอสโคว์ และถูกฝังที่สุสานโนโวเดวิชี (Novodevichie cemetery)


ผลงานเขียน

  • 1927-Повесть о котовцах (A Tale of Kotovsah) สูญหาย
  • 1932-Как закалялась сталь (How the Steel was Tempered)
  • 1936- Рождённые бурей (Born of the Storm)

หนังสือของเรื่อง How The Steel was Tempered สามารถดาวโหลดฉบับภาษาอังกฤษได้ฟรีที่พรรคคอมมิวนิสต์ออสเตรเลีย แบ่งเป็นสองฉบับ

http://www.cpa.org.au/resources/cpa-presents/how-the-steel-was-tempered-book-1.pdf

http://www.cpa.org.au/resources/cpa-presents/how-the-steel-was-tempered-book-2.pdf

หนังสือเล่มนี้ถูกแปลงเป็นภาพยนต์ในยุคโซเวียตมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 1942,1956,1975



Don`t copy text!