Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Mikhail Bulgakov

มิคาอิล อเฟนาสวิช บุลกากอฟ(Миали Афанасьвич Булгаков) เกิดในเคียฟ 3 มีนาคม 1891 เขาเป็นลูกชายคนดตของ อฟานาเซีย บุลกากอฟ ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ประจำมหาวิทยาลับเคียฟ 

1909 บุลกากอฟเข้าเรียนทางด้านการแพทย์ในมหาวิทยาลัยเคียฟในปี 9

1913 เขาได้แต่งงานกับ ทัตยาน่า แลปปา (Tatyana Lappa) เธอเป็นลูกสาวของรัฐมนตรีคลังประจำเมืองในสงครามโลกครั้งที่ 1 บุลกากอฟ สมัครเข้าทำงานอาสาให้กับกาชาด ทำให้การเรียนหยุดไปช่วงหนึ่ง แต่เมื่อสงครามจบก็กลับมาเรียนต่อ

1916 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย  และเริ่มทำงานให้กับโรงพยาบาลเล็กๆ ในเขตสโมเลนส์ก

1917 เขาติดมอร์ฟีน อยู่ช่วงหนึ่งจนเกือบจะเสียชีวิตแต่ก็รอด และเลิกมันได้ช่วงปี 1918 ระหว่างนี้ก็เกิดสงครามกลางเมืองในรัสเซีย ช่วงของการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ บุลกากอฟ เลือกที่จะอยู่ฝ่ายของกองทัพขาว (White Army) เขาทำงานเป็นแพทย์สนาม ประจำอยู่ในแถบเทือกเขาคอเคซัส และเริ่มทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ไปด้วย

26 พฤศจิกายน 1919 มีผลงานเขียนครั้งแรกของบุลกากอฟตีพิมพ์ออกมาในหนังสือพิมพ์กรอซนี (Grozny newspaper) ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวงของเชเชน ในการต่อต้านการก่อการร้ายของพวกคอมมิวนิสต์ โดยทำหน้าที่หมอให้กับกองทัพ

1920 ย้ายไปอยู่ที่นอร์ทคอเคซัส ในเมืองหลวงวลาดิคาฟคาส (Vladikavkaz)  และได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์คาฟคาส (Kavkaz newspaper)ชีวิตเปลี่ยนจากนักข่าวมาเป็นนักเขียนบทละคร

1921 เขาได้รับบทละครเวทีหลายเรื่อง เข้าย้ายกลับไปอยู่ที่มอสโคว์พร้อมกับภรรยา ในช่วงนี้เขาเปลี่ยนงานบ่อยมาก ทั้งการเขียนหนังสือพิมพ์และเป็นนักเขียน หนังสือเรื่อง กองทัพขาว~The White Army เป็นหนังสือที่เขาเขียนออกมาในช่วงนี้ มันเกี่ยวกับครอบครัวทหารในช่วงสงครามการปฏิวัติ และยังเรื่อง บันทึกของแพทย์หนุ่ม~Note of a Young Doctor ซึ่งเป็นนวนิยายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขา

1924 เขาหย่ากับภรรยา และแต่งงานใหม่กับ เลียบอฟ เบโรเซอร์สกาย่า (Lyubov Belozerskaya) The Fatal Eggs ถูกเขียนขึ้นในปีนี้ มันเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ ตัวละครเอกที่ทดลองเกี่ยวกับไข่อยู่ บังเอิญค้นพบรรังสีสีแดง ซึ่งช่วยเร่งให้สิ่งมีชีวิตเติบโตได้รวดเร็ว และรัฐบาลโซเวียตเอาแสงนี้ไปใช้เพื่อแก้ปัญญาการขาดแคลนอาหารเพราะว่าปศุสัตว์ต่างก็ตายลงไปจำนวนมากเพราะโรคระบาด แต่ปรากฏว่าแสงนี้ไปเกิดไปส่องไข่ของงู และจรเข้ด้วย ทำให้สัตว์ขนาดยักษ์ออกอาระวาดฆ่าคนตายจำนวนมาก และคนคิดค้นแสงสีแดงนี้ก็ถูกประณาม , มันถูกตีพิมพ์ในปีต่อมา นิยายเรื่องนี้โด่งดังมาในโซเวียต แต่ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่ไม่ค่อยชอบ ว่ากันว่าบุลกากอฟ ชอบนิยายวิทยาศาสตร์ของ H.G. Wells  ทำให้เขาหันมาเขียนงานในแนวนี้

1927 The Master and Margarita ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของบุลกากอฟ หนังสือเล่มนี้จัดเป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดของศตวรรษที่ยึ่สิบ มันเป็นความเจ็บปวดของนักเขียนกับระบบภายในสหภาพโซเวียต เขาเริ่มลงมือเขียนมันจริงๆในปี 1928 ก่อนที่จะเผาต้นฉบับทิ้งในปี 1930 เพราะความเศร้าและคิดว่าคงไม่อาจจะเป็นนักเขียนภายในประเทศของเขาได้อีกจนกระทั้งในปี 1931 ได้หยิบมันกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง 

1932 เขาแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่ 3 กับ เยเลน่า ชิลอฟสกาย่า (Yelena Shilovskaya) ซึ่งเธอเป็นแรงบัลดาลใจให้กับเขาในการสร้างมากาเร็ตต้า นางเอกของหนังสือ บุลกากอฟ และเยเลน่าอาศัยอยู่ในใจกลางกรุงมอสโคว์ บริเวณบึง Patriarch’s Ponds ท่ามกลางปัญหามากมายและการถูกกดดันจากรัฐบาลให้ยกเลิกการเขียนของเขา แต่เขาก็สามารถเขียนเวอร์ชั่นที่ 3 ได้จนสำเร็จในปี 1937 และเขาก็กำลังปรับปรุงเวอร์ชั่นที่ 4 ของมันอยู่ แต่ก็เสียชีวิตไปก่อนในปี 1940 

10 มีนาคม 1940 เขาเสียชีวิตจากอาการไตวาย (nephrosclerosis โรคไตกระด้าง) ซึ่งพ่อของบุลกากอฟเองก็เสียชีวิตด้วยโรคนี้ The Master and Margarita กว่าที่จะถูกพิมพ์ขายครั้งแรกก็ในปี 1967 แล้ว โดยได้ลงในหนังสือแมกกาซีน แต่ว่าก็มีหลายส่วนที่ถูกแก้ไข
The Master and MargaritaMaster and Margarita (Eye Classics)

Don`t copy text!