Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Ivan Goncharov

อิวาน กอนชารอฟ (Иван Алеусандрович Гончаров)

นักเขียนเจ้าของผลงาน Oblomov
เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1812 (6 มิถุนายน ปฏิทินเก่า) ในเมืองซิมเบิรส์ก พ่อของเขา ชื่ออเล็กซานเดอร์ (Aleksander Ivanovich Goncharov) เป็นพ่อค้าข้าวที่มีฐานะร่ำรวย เคยได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าของเมืองซิมเบิรส์กนี้หลายหน แต่ว่าเสียชีวิตเมื่อ เขา มีอายุ 7 ขวบ
มารดาอัฟโดตยา แมตวีน่า (Avdotya Matveena, นามสกุลเดิม Shakhtorin) กับพ่อบุญธรรมชื่อ นิโคไล เตรกูบอฟ (Nikolai Tregubov) เป็นผู้คอยดูแลเขาต่อมา  ซึ่งเตรกูบอฟ อดีตนักเดินเรือ เป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ในเมืองนี้และเป็นที่กล่าวขานกันว่าลอร์ดในฟรีเมสัน นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนกลุ่มดีเซมเบอริสต์ (Dememberists) ด้วย
1820-1822 กอนชาารอฟ เรียนหนังสือในโรงเรียนประจำของเอกชน ของ เรฟ. ฟีโอดอร์ ทรอยสกี (Rev. Fyodor S. Tritsky) ซึ่งทำให้เขาได้หัดเรียกนภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน
1822 สิงหาคม ถูกส่งมาเรียนด้านการพาณิชย์ในมอสโคว์ เป็นช่วงเวลาที่ตัวเขาเองไม่มีความสุขกับการเรียน เป็นเวลายาวนานถึง 8 ปี อาจารย์ที่สอนเขาคนแรกคือ คาราซิน (Karazin) กวีที่มีชื่อเสียง
1830 ช่วงเวลาเดียวกันกับที่  Eugeny Onegin วรรณกรรมของพุชกิ้น พิมพ์จำหน่าย ซึ่งอาจจะมีผลให้กอนชารอฟ ให้ตัดสินใจออกจากโรงเรียนในปีต่อมา ตอนได้อ่าน ยูจีน โอเนกิ้น ของพุชกิ้น เขาถึงกับบันทึกเอาไว้ว่า “พระเจ้า , เขาเห็นแสงสว่างปรากฏออกมาในทันได้ มันช่างเป็นกวีที่จริงเสียกระไร เป็นเรื่องชีวิตที่เกิดขึ้นทั่วไป เข้าสมัย ชัดเจน …”
1831 สมัรเข้าเรยนในมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ในเดือนสิงหาคม ในคณะศึกษาศาสตร์ โดยมุ่งเน้นการศึกษาวรรณกรรม เขามีโอกาสได้ฟังการบรรยายของพุชกิ้นในชั้นเรียนด้วย เมื่อพุชกิ้นถูกเชิญมาในห้องเลคเซอร์ของมหาวิทยาลัย
1834 เขาเรียนจบ และเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ซิมเบิร์สก เขาได้รับการเสนองานจากผู้ว่าการของเมืองให้ทำงานเป็นเลขานุการ ซึ่งในตอนแรกกอนชารอฟ อยากจะอยู่ในมอสโคว์มากกว่า แต่ที่สุดก็ยอมรับงานนี้  แต่ทำงานอยู่ได้ 11 เดือน เขาก็ย้ายมายังเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ทำงานในกรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงการคลัง โดยเขาทำหน้าที่เป็นล่ามและรับรองแขกต่างชาติ
ระหว่างอยู่ในปีเตอร์เบิร์กนี้ เขาได้รู้จักกับครอบครัวของนิโคลัส เมียกอฟ (Nicholas Maikov) และได้ทำงานเป็นครูสอนหนังสือให้กับลูกคนโตสองคนของครอบครัวนี้ด้วย โดยสอนวรรณกรรมลาตินและรัสเซีย เมียกอฟ ทำให้เขาได้เข้าไปอยู่ในแวดวงของนักเขียนชื่อดังหลายท่าน อย่าง อิวาน เตอร์เกเนฟ  (Ivan Turgenev) ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี (Fyodor Dostoyevsky) ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาบันทึกเอาไว้ว่า “ที่บ้านของเมียกอฟ เขาได้ค้นพบกับชีวิต บรรยาการแห่งการสร้างสรรค์ ทั้งวิทย์และศิลปะ”
1838 ปรากฏผลงานเขียน Evil Illness , Void Fantasizing, A Furtunate Blunder , High Society Drama
1839 Moonlit Nights almanac
เขาเริ่มใช้นามแฝง ว่า Nevsky Prospekt
1846 เขาเริ่มอ่านวรรณกรรมของตัวเองเรื่อง A Common  Story (Обыкновенная история) ให้คนรอบข้างฟัง ก่อนที่มันจะถุกพิมพ์ออกมาในปีต่อ และกลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างแท้จริง ด้วยเรื่องราวรักโรแมนติกแบบปุถุชนทั่วไป
1849 มีผลงานเรื่องวรรณกรรมที่เขียนไม่เสร็จ และกลายเป็นเรื่องสั้น ชื่อ Oblomov’s Dream (Сон Обломова)
1852 ตอนนั้นกอนชารอฟยังคงทำงานเป็นล่ามของกรมการค้าอยู่ ช่วงเวลานั้นเกิดการแข่งขันการขยายอิทธิพลระหว่างรัสเซีย และอเมริกา ในแปซิฟิก โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นตลาดใหญ่ที่เป็นที่ต้องการของสองมหาอำนาจ แต่ว่าเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นปิดประเทศไม่ยอมให้ต่างชาติเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น มาตั้งแต่ 1639 มีเพียงจีน และฮอนแลนด์เท่านั้นที่สามารถส่งสินค้าเข้าญีุ่ป่นได้เพราะทำข้อตกลงกันในปี 1641 แต่ก็เป็นไปอย่างจำกัด ผ่านเพียงท่าเรือนางาซากิเท่านั้น สหรัฐและรัสเซีย ต่างก็ส่งกองเรือรบของตนไปบีบบังคับญี่ปุ่น จนต้องยอมทำสัญญากับอเมริกาในปี 1854 และกับรัสเซียในปี 1855
  กองเรือของรัสเซียนัั้นนำโดยนายพล เยฟฟีมี ปูตยาติน  ( Евфимий Васильевич Путятин, Yevfimy Putyatin) ซึ่งกอนชารอฟ ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เลขาของท่าน ทำให้กอนซารอฟ มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นพร้อมกับเรือฟรีเกต ชื่อ พาลลาด้า (Паллада, Pallada) พวกเขาเดินทางถึงนางาซากิ ในวันที่ 12 สิงหาคม 1853  และการเจรจาเปิดประตุการค้าระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย เป็นไปอย่างประณีประณอมมากกว่าฝ่ายสหรัฐที่ขู่จะใช้กำลัง แต่รัสเซียเสนอความช่วยเหลือญีปุ่น โดยสอนให้ญี่ปุ่นสร้างเรือเครื่องจักรไอน้ำแบบพาลลาด้า  ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถผลิตเรือไอน้ำด้วยตัวเองได้เป็นครั้งแรก
การเดินทางของพวกเขาใช้เวลาเกือบสองปีครึ่ง นอกจากญี่ปุ่นแล้ว พวกเขายังไปอังกฤษ อัฟริกาใต้ อินโดนีเซีย จีน และญี่ปุ่น หลังจากที่เรือแวะบนเกาะแห่งหนึ่งในทะเลโอคอตส์ก (Okhotsk Sea) กอนชารอฟ ก็เดินทางกลับรัสเซ๊ย โดยทางแผ่นดินจากตะวันออกไกล เขากลับถึงเซนต์ปีเตอร์เบิรก์ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1855
1855 เมษายน Notes of The Fatherland (Отечественных записок) ในตอนแรกเขียนเป็นตอนๆ ลงในนิตยสารหลายฉบับ
หลังจากเดินทางกลับมาแล้ว เขาถูกแต่งตั้งเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการเซ็นเซอร์ของรัฐ ซึ่งเขาชื่อชอบมากกว่างานเดินในกรมการค้า เพราะว่าเกี่ยวข้องกับหนังสือโดยตรง ซึ่งแม้ว่ามันจะลำบากใจอยู่มากในการทำงานของคณะกรรมการที่มักจะโดนด่าจากนักเขียนที่มีแนวคิดเสรี
1857 เขาเดินทางไปยังเมือง มาเรียแบด (Mariánské Lázně~Marienbad) เมืองตากอากาศในเชค เพื่อรักษาอาการป่วย ซึ่งเขาใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนในช่วงนี้เขียนต้นฉบับของ Oblomov วรรณกรรมเรื่องที่สองของตัวเอง
1858 Notes of The Fatherlands ถูกเรียบเรียงใหม่ เป็นหนังสือสองเล่ม he Frigate Pallada (Фрегат – Паллада) และ Diary Writer (дневник писателя)
1860 ลาออกจากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ , ในปีนี้วรรณกรรมเรื่องใหม่ Oblomov (Обломова) ถูกตีพิมพ์ หนังสือประสบความสำเร็จอย่างมากจนเกิดเป็นกระแส Oblomovism (Обломовщина) หนังสือถูกเปรียบว่าเป็น คำตอบว่า “ไม่” (No) ของคำถาม To be or not To Be ? ของแฮมเล็ตของเชคสเปียร์
1862 ทำงานเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Severnaya potchta ซึ่งหนังสือพิมพ์ของกระทรวงมหาดไทย
1863 กลับเข้าทำงานในกองเซ็นเซอร์ ซึ่งมีความเข้มงวดมากกว่าเดิม และถุกตำหนิมากขึ้น เขามักจะตำหนิผลงานแนวสังคมนิยม,คอมมิวนิตส์ หรืองานที่แสดงชีวิตด้านลบ (nihilism)  , และยังได้เข้าเป้นสมาชิกของสภานักเขียน (State publishing council)
1865 เข้าทำงานกับกรมการพิมพ์ (Department of Publishing) ระหว่างนี้พยายามเขียนวรรณกรรมเรื่องใหม่ ที่เขียนไม่เสร็จอย่าง Sophia Nikolayevna Belovodova , Grandmother and Portrait
1867 ลาออกจากตำแหน่งในกองเซ้นเซอร์ และเร่ิมเขียนวรรณกรรมเรื่องที่สาม The Precipice (Обрыва)เขาเรียกมันว่าเป็น My Heart’s Child (это дитя моего сердца) ซึ่งเขาใช้เวลาเขียนหลายปี เพราะมีอาการป่วยด้วยโรคซึมเซา และไม่แยแสโลกรอบตัว เพราะการทุมเทที่จะพยายามพัฒนาผลงานให้เหนือกว่าเดิม แต่เขากลับขาดทิศทางในการที่จะเขียน เขายอมรับว่าตอนที่เขียนตอนที่สามของ The Precipice  เสร็จ เขาก็อยากจะเลิกเขียนมันเสียแล้ว
1869 The Precipice ถูกพิมพ์ออกมา เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มโรแมนติกสามคน มองโลกแต่ด้านที่สว่างไสว เอเดฟ, อ็อปโลมอฟ และ เรียสกี (Aduev, Oblomov, Raisky ) หนังสือประสบความสำเร็จสูง แต่ก็มีเสียงตำหนิว่าเป็นเหมือนชุดเรื่องสั่นของคนสามคน ที่ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ไร้เป้าหมาย ไร้สุดจบ
หลังจากนั้นเขาไม่มีผลงานวรรณกรรมชิ้นใหม่ออกมา แต่ยังคงเขียนบทความและเรื่องสั้นออกมาบ้างเป็นงานเชิงทดลองเขียน ซึ่งหลายเรื่องถูกพิมพ์หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว
  • Literary Evening   (Литературный вечер)
  • Servants of Old age (Слуги старого века)
  • A trip to the Volga (Поездка по Волге)
  • On Eastern Siberia (По восточной Сибири)
  • Month of May in St.Peterburg (Май месяц в Петербурге)
  • A Million Torments (Мильон терзаний)
  • Note of the identity Belensky (Заметки о личности Белинского)
  • Better late Than Ever (Лучше поздно чем никогда)
1875 เขาเขียนบันทึกความทรงจำของเขาในชื่อ An Uncommon Story (Необыкнове́нная исто́рия) แต่มันถูกพิมพ์ออกมาในปี 1924 หลังจากเขาเสียชีวิตไปนานมากแล้ว ซึ่งมีบางตอนของบันทึกเขากล่าวหา อิวาน เตอร์เกเนฟ (Ivan Turgenev) ว่าดึงเอาบุคคลิของตัวละครใน The Precipice ไปใช้กับผลงานเรื่อง  Home of The Gentry ของตัวเอง
24 กันยายน 1891 (12 กันยายน ปฏิทินเก่า) เขาป่วยเป็นไข้้หวัด และในวันที่ 27 กันยายน 1891 (15 กันยายน ปฏิทินเก่าเขาเสียชีวิตด้วยอาการปอดบวม ตลอดชีวิตเขาไม่เคยแต่งงาน ร่างเขาถูกประกอบที่สุสานเซนต์นิโคลัส ในมหาวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Lavra) 
1956 อัษฐิของ อีวาน กอนชารอฟ ถูกบ้ายไปยังเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก อยู่ที่สุสานโวลโกโว้ (Volkovo cemetery)
Don`t copy text!