Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Lev Kamenev

เลฟ คามิเนฟ (Лев Борисович Каменев (Розенфельд) ) 

เกิดในมอสโคว์ เมื่อวันที่  18 กรกฏาคม 1883(6 กรกฏาคม ปฏิทินเดิม) ในครอบครัวชาวยิว พ่อของเขาเป็นวิศวกรสร้างทางรถไฟ ซึ่งร่ำรวยจากการก่อสร้างทางรถไฟสายระหว่างเมืองบากู-บาตุมิ 
นามสกุลจริงของเขา คือ โรเซนฟิลด์ (Rozenfeld)
คามิเนฟ จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนในกรุงทิฟลิส
1901 เข้าเรียนด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยมอสโคว์ และสมัครเป็นสมาชิกพรรค RSDLP
1902 เขาร่วมเคลื่อนไหวในการเดินขบวนของนักศึกษาในวันที่  13 มีนาคม ทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ถูกจับและถูกส่งตัวกลับทิฟลิส  พอถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิเขาตัดสินใจเดินทางไปปารีส ซึ่งมีโอกาสได้พบกับเลนิน
ในปีนี้ เขาแต่งงานกับโอลก้า คาเมเนว่า (Olga Kameneva) น้องสาวของทร็อตสกี
1903 กันยายน เขาอยู่เคลื่อนไหวทางการเมืองหให้กับพรรคเดินทางไปมาระหว่างมอสโคว์และทิฟลิส เขาพยายามสนับสนุนให้พนักงานการรถไฟประท้วงหยุดงาน และคอยทำการโฆษณาชวนเชื่อภายในหมู่ผู้ใช้แรงงาน จนกระทั้งถูกจับอีกครั้งระหว่างอยู่ในมอสโคว์ และถูกส่งตัวกลับทิฟลิสโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยจับตา
1904 กรกฏาคม ได้เป็นคณะกรรมการของพรรคเขตคอเคซัส
1907  การประชุมพรรค RSDLP ครั้งที่ 7 เขาได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรค เขายังคงทำหน้าที่ในการสร้างกระแสการปฏิวัติให้เกิดขึ้นในคอเคซัส มอสโคว์และเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ต่อไป
1914 ได้รับหน้าที่ให้ดูแลหนังสือพิมพ์ปราพด้า และคอยนำเสนอบทความที่สนับสนุนเลนินและต่อต้านรัฐบาลพระเจ้าซาร์ จนทำให้เขาถูกจับ
1915 ถูกเนรเทศไปยังเขตตูรุคานส์ก (Turukhansk region) 
1917 หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับการปล่อยตัวออกมา คาเมเนฟ เดินทางกลับมาถึงยังเซนต์ปีเตอร์เบิร์กในวันที่ 25 มีนาคม  เขากลับเข้าไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ปราพด้าอีก ซึ่งเขา กับสตาลินได้ทำงานร่วมกัน 
คาเมเนฟ นั้นสนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาลที่ถูกจัดตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติ และพยายามที่จะคืนดีกับฝ่ายเมนเชวิค ซึ่งกลายมาเป็นว่า ความเห็นเขานั้นขัดแย้งกับเลนิน ซึ่งเดินทางกลับรัสเซียในวันที่ 3 เมษายน ซึ่งเลนินได้เสนอแผนการปฏิวัติ (April Theses)  แต่เมื่อไม่อาจจะขัดใจเลนินได้ สุดท้ายเขาก็ให้การสนับสนุน
  10 ตุลาคม  เมื่อมีการประชุมพรรคเพื่อตัดสินใจเรื่องการจับอาวุธขึ้นเพื่อปฏิวัติ คาเมเนฟ และซิโนเวียฟ ( Zinoviev) เป็นเพียงแค่สองเสียงที่คัดค้าน
  18 ตุลาคม ในหนังสือพิมพ์ New Life (Новая Жизнь)  คาเมเนฟ ได้ลงบทความ ที่ไม่เห็นด้วยกับการจับอาวุธมาปฏิวัติ ซึ่งกลายมาเป็นว่าเขานำความลับของพรรคมาเปิดเผย จนเลนินเรียกร้องให้มีการขับเข้าออกจากพรค
  27 ตุลาคม ( 7 พฤศจิกายน) เมื่อเกิดการปฏิวัติ เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานของคณะกรรมการกลางบริหาร  ซึ่งตอนนั้นเกิดการประท้วงเรียกร้องของพรรคสังคมนิยมอื่นๆ ให้พรรคบอลเชวิคแบ่งบันอำนาจให้กับพวกเขา โดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพการรถไฟที่จะนัดหยุดงาน คาเมเนฟ และซิโนเวียฟ สนับสนุนให้พรรคบอลเชวิคเปิดการเจรจา เพราะเห็นว่าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจะทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับฝ่ายที่ยังช่วยเหลือรัฐบาลเฉพาะกาลได้ แต่ว่าไม่นานกลุ่มที่ต่อต้านบอลเชวิคในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กก็ถูกทำให้พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ซ นั้นทำให้เลนิลและทร็อตสกีสามารถโน้มน้าวพรรคให้ล้มการเจรจาได้
  4 พฤศจิกายน คาเมนเนฟ ซิโนเวีย ประกาศลาออกจากคณะกรรมการกลางของพรรคเพื่อแสดงความรับผิดชอบแต่วันต่อมา 5 พฤศจิกายน เลนินก็เขียนข้อความประณามทั้งคู่ว่าเป็นคนทรยศ (Deserters) และไม่เคยให้อภัยพวกเขาอีก มันถูกพิมพ์ลงในปราพด้า ฉบับที่ 182 วันที่ 20 พฤศจิกายน
  พฤศจิกายน ร่วมเดินทางไปกับคณะเจรจาที่จะไปทำสนธิสัญญา Brest-Litovsk กับเยอรมัน
1918 มกราคมได้รับแต่งตั้งเป็นฑูตประจำฝรั่งเศส แต่ทางการฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะให้การรับรองรัฐบาลโซเวียต
และเมื่อเขาเดินทางต่อไปยังฟินแลนด์ก็ถูกจับกุมตัว ในวันที่ 8 มีนาคม เพื่อใช้แรกตัวประกันกับชาวฟินแลนด์ที่ทางการโซเวียตจับเอาไว้ 
  กันยายน ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของโพลิตบุโร ซึ่งก่อตั้งเป็นครั้งแรก
เมื่อเลนินเริ่มมีอาการป่วย คาเมเนฟ จับมือกับสตาลิน และซิโนเวียฟ เป็นกลุ่มทรอยก้า (Troika) เพื่อแย่งชิงอำนาจภายในพรรคกับทร็อตสกี และตั้งแต่ปี 1922 แล้ว คาเมเนฟ ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพรรคแทนเลนิน
1924 หลังจากการเสียชีวิตของเลนิน ไม่นาน ก็มีการจัดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งกลุ่มทรอยก้า สามารถแย่งชิงเก้าอี้สำคัญภายในพรรคมาจาก กลุ่ม  Left Opposition ของทร็อตสกีได้
1925 แต่ว่าหลังจากโค่นทร็อตสกีได้แล้ว ความสัมพันธ์ของสตาลิน กับคาเมเนฟ,ชิโนเวียฟ ก็ขาดสะบั่นลง เป็นอันสิ้นสุดกลุ่มทรอยก้า  คาเมเนฟและชิโนเวียฟ หันไปจับมือกับภรรยาของเลนิน ครุปสกาย่า (Krupskaya) ในการ ต่อต้าน สตาลินที่ไปจับมือกับกับบุคาริน
1926 คาเมเนฟ และซิโนเวียฟ ถูกถอดออกจากตำแหน่งในคณะกรรมการกลางของพรรค โดยได้ถูกย้ายไปดูแลงานในกระทรวงการค้า (Commissar for foreign and domestic Trade) ก่อนที่ในเดือนพฤศจิกายน  เขาจะถูกส่งไปเป็นฑูตประจำอิตาลีแทน
1927 ถูกถอดออกจากโพลิตบุโร ในเดือนเมษายน และในเดือนธันวาคม ในการประชุมพรรคครั้งที่ 15 เขาถูกไล่ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ คาเมเนฟ ถูกเนรเทศไปยังคาลุก้า (Kaluga)  แต่ไม่นานคำสั่งได้รับการยกเลิก
1928 มิถุนายน ได้กลับเข้าเป็นสมาชิกพรรค ได้รับหน้าที่ในการดูแลงานในสภาวิทยาศาสตร์
1929 ได้เป็นประธานในคณะกรรมการสัมปทานของรัฐ (People’s Commissars of Concession Committee)
1932 ตุลาคม ถูกขับไล่ออกจากพรรคอีกครั้ง ในข้อหาเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Union of Marxist-Leninists  ถูกเนรเทสไปยัง Minusinsk
1933 ธันวาคม ได้กลับเข้าเป็ฯสมาชิกพรรคอีกครั้ง และได้เป็นผู้อำนวยการของสำนักพิมพ์งานด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล  Academia ซึ่งคาเมเนฟ มีผลงานเขียน ชีวประวัติของ Herzen , Chernyshevsky ออกมา
ในการประชุมพรรคครั้งที่ 17 นี้ เขาได้กล่าวสรรเสริญสตาลินในที่ประชุม
1934 ได้เป็นผู้อำนวยการของสถาบันกอร์กี
  16 ธันวาคม ถูกจับอีกครั้ง 
1935 ถูกตั้งข้อหาในคดี Moscow Case(Московского центра) ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 5 ปี , และในคดี The Krelin Library, and the commandant of the Kremlin ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี
1936  สิงหาคม ถูกสอบสวนใน Moscow Trial Show ครั้งแรก  (Traial of the Sixteen) ในข้อหาที่เกี่ยวข้อกับการก่อการร้าย ของผู้สนับสนุนทร็อตสกีและซิโนเวียฟ (Trotsky-Zinoviev Center)
  24 สิงหาคม ถูกตัดสินประหารชีวิต 
  25 สิงหาคม ถูกนำตัวไปยิง
โอลก้า ภรรยาของคาเมเนฟ ถูกจับตัวขังคุกในเวลาต่อมาก และลูกสาวของพวกเขา ยู (Yu L. Lamenev)ถูกประหาร ในวันที่ 30 มกราคม 1938 อายุเธอแค่ 17 ปี ส่วนลูกชายคนโตซึ่งเป็นทหารอากาศ อเล็กซานเดอร์ (A. L. Kamenev) ถูกประหาร วันที่  15 กรกฏาคม 1939 อายุ 33 ปี
โอลก้า  ถูกยิงเป้าในวันที่  11 กันยายน 1941 ภายในป่าเมดเวเดฟสกี (Medvedevsky Forest ) พร้อมนักโทษคนอื่นอีก  160 คน 
มีเพียงลูกชายคนเล็ก วลาดิมีร์ (Vladimir Glebov) ที่รอดชีวิตจากค่ายกักกันมาได้

1988 เคเมเนฟ และชิโนเวียฟ ได้รับการลบล้างความผิดในสมัยของกอร์บาเชฟ 
Don`t copy text!