Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Pavel Milyukov

Pavel Milyukov , wikipedia.org

ปาเวล นิโคไลเยวิช มิลยูกอฟ (Павел Николаевич Милюков)

ผู้ก่อตั้งพรรคคาเด็ต (Kadets ~ Constitutional Democratic party) 
เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1859 (15 มกราคม ปฏิทินเดิม)  ในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อของเขาชื่อนิโคลัส (Nicholas Milyukov, Николай Павлович Милюков ) มีอาชีพเป็นสถาปนิค ส่วนแม่ชื่อแมรี่ (Mary Arkadyevna Sultanov, Мария Аркадьевна Султанова)
เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนยิมเนเซียมหมายเลข 1 ในมอสโคว์ (1st Moscow Gymnasium) 
1877 ช่วงสงครามระหว่างรัสเซียและออตโตมาน (1877-1878) เขาทำงานอยู่ในแผนกการเงินของกองทัพ ในพื้นที่คอเคซัส
1882 เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยมอสโคว์ เพราะได้เข้าร่วมการเดินชุมนุมประท้วงของนักศึกษาในปี 1881 แต่ว่าในปีถัดมาเขาก็ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าเรียนต่อ , ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นี้พ่อของเขาก็เสียชีวิต ทำให้เขาต้องหารายได้ส่งตัวเองโดยการเป็นอาจารย์สอนหนังสือตามบ้าน เขาศึกษาและจบจากมหาวิทยาลัยนี้ทางด้านประวัติศาสตร์
1886 จนถึงปี 1895 เขาทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตร์จารย์ในมหาวิทยาลัยมอสโคว์ และในเวลาเดียวกับยังทำงานสอนหนังสือในระดับชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัยในโรงเรียนของสตรีด้วย
1890 เป็นสมาชิกของสมาคมประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุ  (Society of Russiaon History and Antiquities~ ถูกปิดไปในปี 1929)
1892 จบปริญญาโททางด้านประวัติศาสตร์ เขาทำวิทยานิพนธ์จบเรื่อง  The State Economy of Russia in the 1st quarter of 18 century and the reform of Peter the Great  แต่ว่าเขานั้นไม่ได้สอบเพื่อเอาปริญญาเอก ซึ่งบางข้อมูลก้บอกว่าเขาถูกปฏิเสธไม่ได้รับปริญญาเอก
1895 18 มีนาคม เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใชอำนาจไล่ออกจากการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมอสโคว์ หลังจากเขาเลคเชอร์และมีการตำหนิเจ้าหน้าที่ของรัฐในบางเรื่อง
1896 พิมพ์หนังสือ Outlines of Russian Couture(Очерки по истории русской культуры) ออกมาเป็นสามเล่ม ระหว่าง 1896-1903 โดยที่เล่มสุดท้ายเขาเขียนเสร็จตอนอยู่ในคุก นานกว่า 6 เดือนเพราะว่าการปราศรัยทางการเมือง
1897 ได้รับเชิญจาก Sofia Higher School ในบัลแกเรียให้ไปสอนหนังสือ แต่ในปีถัดมาทางการรัสเซียได้ขอให้ทางโรงเรียนยุติการสอนหนังสือของเขา , หลังจากนั้นมิลยุกอฟ ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะนักโบราณคดี ไปมาซีโดเนีย ซึ่งตอนนั้นมีการพบตัวอักษรของอารยธรรมฮาลล์สตัตต์  (Hallstatt  culture) ต่อมาเขาได้เขียนเรื่องการเดินทางดังกล่าวลงในหนังสือรัสเซียกาเซตต้า ชื่อ Letters from the Road (Письма с дороги)
1889 เดินทางกลับมารัสเซีย
1901 ถูกจับขังคุกนานหลายเดือนจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเขานั้นมีแนวคิดแบบเสรีนิยม
1903-1905 เดินทางไปสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง มีโอกาสได้เลคเชอร์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้, และสถาบันโลเวลล์ (Lowell Institute) , เดือนกันยายนปี 1904  ได้เข้าร่วมการประชุมในปารีส (Paris Conference) ซึ่งจัดโดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลรัสเซียคณะนั้นและสมาชิกพรรคที่มีแนวคิดการปฏิวัติ
1905 หลังเกิดการปฏิวัติ ในเดือนมกราคม (Bloody Sunday, 9 Jan.) ในวันที่ 9 มกราคม เขาได้เดินทางกลับรัสเซีย และได้รับเลือกให้เป็นประธานของสหภาพแห่งสหภาพ (Union of Unions ,  Союза союзов ) ซึ่งเหมือนเป็นสมาคมหนึ่งที่รวมกันของนักวิชาการที่ต่อต้านรัฐบาลขณะนั้น
เดือนตุลาคม มิลยุกอฟ ก่อตั้งพรรคคาเด็ต (The Constitutional Democratic Party, Конституционно-демократической партии) ก่อนที่ในปี 1907 เขาจะได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการกลางของพรรคเป็นคนแรก พรรคนี้มีอุดมการสนับสนุนการปกครองโดยรัฐสภา แต่ยังคงไว้ซึ่งระบบกษัตริย์
1906 หลังจากสภาดูม่า ครั้งที่ 1 ถูกยุบไป เขาได้รับเลือกเข้ามาเป็นสภาชิกสภาในครั้งที่ 2,3 และ 4 ระหว่าง 1907-1917
1916 ในสภาดูม่า ที่ 4 เขาได้กล่าวต่อว่า ซาร์ดิน่า อเล็กซานดร้า, และนายกรัฐมนตรีขณะนั้นคือ บอริส สเตอร์เมอร์ ว่า What is this, Stupidity or Treason ? (Что это, глупость или измена?) เหตุเพราะรัฐบาลขอสเตอร์เมอร์ต้องการทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเยอรมัน ซึ่งตอนนั้นประชาชนกลับพึงพอใจกับคำถูดของมิลยูคอฟ 
1917 หลังการปฏิวัติกุมภาพันธ์ เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของรัฐบาลเฉพาะกาล และยังคงพยายามจะรักษาระบบกษัตริย์ให้อยู่่ต่อไป ทว่าถูกฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นหัวก้าวหน้า (Progessive bloc) ต่อต้าน , มิลยูคอฟ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ตั้งแต่เดือนมีนาคม หน้าที่หลักของเขาคือช่วยอพยพประชาชนที่ลี้ภัยกลับประเทศ และเขาสนับสนุนให้รัสเซียร่วมทำสงครามโลกกับพันธมิตรสามมหาอำนาจเวลานั้น (Entente~ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย) จนกว่าจะชนะ แต่ว่ากระแสประชาชนในตอนนั้นกลับเริ่มต้องการให้ยุติสงคราม และยิ่งเมื่อมีจดหมายของมิลยุกอฟ (Milyukov’s not) ซึ่งส่งถึงรัฐบาลชาติพันธมิตร ว่ารัฐบาลเฉพาะการสนับสนุนการทำสงครามต่อ เผยแพร่ออกมา ทำให้เลนิลและบอลเชวิค นำมาเป็นข้ออ้างกล่าวปราศรัยโจมตีเขาในเมืองหลวง จนเดือนพฤษภาคม มิลยูกอฟต้องลาออกจากตำแหน่ง
หลังจากนั้นเขายังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคาเด็ตต่อไป และหันไปสนับสนุนกลุ่มนายพลคอร์นิลอฟ (Lavr Kornilov) แต่ว่าเมื่อนายพลคอร์นิลอฟ พยายามปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ ในเดือนสิงหาคม ยิ่งส่งเสริมให้แรงสนับสนุนต่อบอลเชวิคมากขึ้นไปอีก
หลังการปฏิวัติบอลเชวิค ในเดือนตุลาคม เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (the Constituent Assembly) แต่ว่าเขาไม่ได้เข้าทำงาน แต่เดินทางไปเข้าร่วมกับนายพลคอร์นิลอฟ ในเมืองดอน (Don) ซึ่งสร้างกำลังทหารอาสา (Volunterr Army) เพื่อต่อต้านการปฏิวัติของบอลเชวิค
1918 ได้มีการตั้งสภาประชาชนแห่งดอน (Don Civil Council) ในเดือนมกราคม โดยกองกำลังทหารอาสา โดยที่มิลยูคอฟ เป็นคนเขียนร่างแถลงการณ์ , เดือนพฤษภาคม เขาเดินทางมายังเคียฟ เพื่อพยายามเจรจากับเยอรมัน เพื่อขอความช่วยเหลือในการต่อสู้กับบอลเชวิค แต่ว่าการเจรจานี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคคาเด็ตเอง ทำให้เขาลาออกจากการเป็นกรรมการพรรค , หลังจากนั้นเขาเดินทางไปตุรกี และยุโรป เพื่อหาการสนับสนุนให้กับกองทัพขาว
1920 เขาอยู่ในฝรั่งเศส และเป็นหัวหน้าของสหภาพนักเขียนและนักข่าวชาวรัสเซีย (Union of Russian Writers and Journalists) และเป็นอาจารย์ในสถาบันรัสเซีย-ฝรั่งเศส (Franco-Russian Institute) 
1921 ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย Lates News (Последние новости) ในวันที่ 27 เมษายน  , ช่วงปลายสงครามกลางเมืองในรัสเซีย เขาพยายามที่เปลี่ยนกลยุทธและหันไปญาติดี และพยายามเจรจากับบอลเชวิค โดยเงื่อนไขของการปกครองต้องเป็นแบบสหพันธ์สาธารณรัฐ  และให้มีการตั้งรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตัวเองได้ แต่นั้นทำให้เขาถูกโจมตีจากสมาชิกพรรคคาเด็ตหลายคน และกลุ่มที่สนับสนุนพระเจ้าซาร์ ระหว่างอยู่ในฝรั่งเศสมีความพยายามที่จะสังหารเขาหลายหน มีครั่งหนึ่งที่ทำให้เพื่อนของเขาอย่าง วลาดิมีร์ เนโบกอฟ (Vladimir N. Nabokov , พ่อของ Vladimir V. Nabokov ผู้แต่งหนังสือเรื่องโลลิตต้า) เสียชีวิต เพราะปกป้องเขา ในวันที่ 28 มีนาคม 1922
ช่วงเวลาที่ลี้ภัยในปารีสนี้ เขามีผลงานเขียนหนังสือเล่มใหม่พิมพ์ออกมา เช่น History of the Second Russian Revolution(Историю второй русской революции), at the turn of Russia(Россия на переломе) , Immigration at the Crossroads(Эмиграция на перепутье), Memoirs(Воспоминания) เล่มสุดท้ายนี้ไม่เสร็จสมบูรณ์
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาให้การสนับสนุนสตาลิน ในฐานะที่เป็นฝ่ายบ้านเกิดของเขา เขามีโอกาสได้ร่วมในการฉลองการยึดสตาลินกราดกลับมาได้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานก่อนเขาเสียชีวิต
1943 31 มีนาคม 1943 เสียชีวิตที่เมือง Aix-les-Bains ในฝรั่งเศส
Don`t copy text!