Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

E. T. A. Hoffmann

เอิร์นสต์ ทีโอดอร์ วิลเฮล์ม ฮอฟฟ์แมนน์ (Ernst Theodor Wilhelm Hoffman)

ผู้สร้างโอเปร่า Undine และแต่ง The Nutcracker and The Mouse King 

ฮอฟฟ์แมนน์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1776 ในครอบครัวของนักกฏหมาย พ่อของเขาชื่อคริสตอฟห์ (Christoph Ludwig Hoffmann) มีอาชีพเป็นทนายความอยู่ใเมืองโคนิกสเบิร์ก ประเทศปรัสเซีย (Königsberg,Prussia) แม่ของเขาชื่อว่าโลวิซ่า (Lovisa Albertina Doerffer) เธอเป็นญาติของคริสตอฟห์  ฮอฟฟ์แมนน์เป็นลูกคนสุดท้องในพี่น้องสามคน แต่ว่าพี่คนรองของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก
1778 พ่อและแม่ของเขาแยกทางกัน พ่อนั้นพาลูกชายคนโตย้ายไปอยู่ในอีกเมืองหนึ่ง , โดยที่ฮอฟฟ์แมนน์อยู่ในความดูแลของแม่ ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในโคนิกสเบิร์ก แต่ว่าย้ายไปอยู่กับพี่ๆ ของเธอ 3 คน  คือ โจฮานน่า(Johanna Sophie Doerffer) , ชาร์ลอตต์ (Charrlotte Wilhelmine Doerffer) และอ๊อตโต้(Otto Wilhem Doerffer) ซึ่งลุงและป้าทั้งสามคนนี้ทำหน้าที่ในการช่วยสอนหนังสือให้กับฮอฟฟ์แมนน์
ชาร์ลอตต์นั้นเสียชีวิตตอนที่ฮอฟฟ์แมนน์อายุได้ 3 ขวบ แต่ว่าฮอฟฟ์แมนน์มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเธอและเขียนถึงเธอไว้ในหนังสือชีวประวัติของเขาในภายหลัง ซึ่งคนอ่านเคยคิดว่าชาร์ลอตต์ในหนังสือเป็นเพียงจิตนาการของฮฮฟฟ์แมน จนกระทั้งภายหลังพบหลักฐานว่าเธอมีตัวตนจริง
1781 เข้าเรียนที่โรงเรียนลูเธอลัน (Lutheran school, Burgschule) ซึ่งทำให้เขาได้เรียนวิชาศิลปะ และดนตรี ซึ่งฮอฟฟ์แมนน์มีพรสวรรค์ด้านการวาดรูป การเขียนและการเล่นเปียโน มาตั้งแต่นั้น 
1787 ได้รู้จักกับ ธีโอดอร์ ฮิปเปล (Theodor Gottlieb Hippel) ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งเรียนที่โรงเรียนลูเธอลันด้วยกัน  ภายหลังธีโอดอร์กลายเป็นรัฐบุรุษคนหนึ่งของปรัสเซีย  ธีโอดอร์และฮอฟฟ์แมน ยังมีโอกาสในฟังเลคเชอร์ของอิมมานูเอล คานต์ ช่วงปี 1972 ตอนที่คานต์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโคนิกเบิร์ก
1792 เข้าเรียนด้านกฏหมาย ที่มหาวิทยาลัยโคนิกสเบิร์ก  (University of Königsberg) แม้ว่าเขาจะไม่ชอบวิชาด้านกฏหมาย แต่ปรากฏว่าเขามีผลการเรียที่ดีมาก 
1794 ฮอฟฟ์แมนน์ หลงรักคุณครูที่มาสอนดนตรีให้เขา เธอเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ชื่อว่า โดร่า แฮตต์ (Dora Hatt) มีอายุมากกว่าฮอฟฟ์แมนน์สิบปี  แต่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ยาวนานนัก หลังจากปีถัดมาซึ่งโดร่าให้กำเนิดคนที่หกของเธอ ทั้งคู่ก็แยกทางกัน 
1796 เริ่มทำงานเป็นเสมียรให้กับลุงของเขา ที่ชื่อโจฮานน์  (Johann Ludwig Doerffer) ซึ่งอาศัยอยูที่เมือลโกลกัว (Glogau) กับลูกสาวของเขา
1798 เมื่อลุงโจฮานน์ได้เลื่อนตำแหน่งและถูกย้ายไปทำงานที่ศาลในกรุงเบอร์ลิน ทำให้ทั้งสามคนย้ายไปเบอร์ลินด้วยกัน ซึ่งตอนอยู่ในเบอร์ลินนี้ฮอฟฟ์แมนน์พยายามที่จะเป็นนักแต่งเพลงและเขียนบทละครโอเปร่า เรื่อง Die Maske ซึ่งเขาส่งสำเนาเรื่องดังกล่าวให้กับพระราชินีหลุยส์แห่งปรัสเซีย (Queen,Louise) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ได้ตอบกลับมาว่าให้เขาลองส่งผลงานไปยังโรยัลเธียเตอร์ (Royal Theatre)
1800 หลังเรียนจบ ฮอฟฟ์แมนน์ ย้ายไปอยู่ที่เมืองโปเซน (Posen) เริ่มทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้านกฏหมายให้กับรัฐบาล  โดยที่ธีโอดอร์เดินทางไปกับเขาด้วย ช่วงปลายปีฮอฟฟ์แมนน์เขียนบทเพลงให้กับละครของเกอเธ์ (Goethe) เรื่อง “Scherz, List und Rache” ซึ่งละครประสบความสำเร็จ และทำให้ฮอฟฟ์แมนน์ก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย
1802 ถูกส่งไปทำงานในเมืองเล็กๆ ชื่อปล็อค (Plock)  แต่ว่าวันที่  26 กรกฏาคม เขาเดินทางกับมาที่โปเซนเพื่อแต่งงานกัน มิสชา (Mischa, Marianna Tekla Michalina Rorer) เธอเป็นคนเชื้อสายโปแลนด์ 
1803 เขาประพันธ์เพลง ชื่อ Grosse Phantasie für das Klavier ส่งเข้าประกวดในชื่อปลอมว่า Giuseppi Dori aus Warschau เพื่อชิงเงินรางวัล แต่เมื่อถูกจับได้ทำให้เขาถูกประณามอย่างหนัก 
1804 เขาขอย้ายมาทำงานที่กรุงวอร์ซอร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองหลวงของปรัสเซียใต้ (South Prussia) ซึ่งเขาได้รู้จักกับ จูเรียส ฮิตติ้ง (Joluis Edward Hitting) ซึ่งฮิตติ้ง ต่อมาได้เป็นคนเขียนชีวประวัติของฮอฟฟ์แมน 
1805 ฮอฟฟ์แมนเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมดนตรีแห่งวอร์ซอร์ (Musical Society of Warsaw) ซึ่งตั้งอยู่ที่วังมนิสเซค (Mniszech Palace) ซึ่งฮอฟฟ์แมนน์ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยของสมาคม
ลูกสาวของเขาเกิดมา เธอชื่อว่า เซซิเลีย (Cecilia
1806 28 พฤศจิกายน กองทัพนโปเลียนสามารถพิชิตกรุงวอร์ซอร์เอาไว้ได้ (ในสงคราม 4th Coalition , ปรัสเซีย จับมือเป็นพันธมิตรกับรัสเซียในการต่อต้านฝรั่งเศส)  นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ของปรัสเซียตกงาน รวมถึงฮอฟฟ์แมนด้วย , ฝรั่งเศสต้องการให้อดีตเจ้าหน้าที่ของปรัสเซียทุกคนยอมสาบานตนว่าจะสวามิภักดิ์ไม่อย่างนั้นก็ให้ออกจากประเทศไป , ฮอฟฟ์แมนน์ตัดสินใจที่จะออกจากวอร์ซอว์
1807 ฮอฟฟ์แมนน์ให้ภรรยาของเขาพาเซซิเลียลูกสาว  เดินทางกลับเมืองโปเซน ส่วนฮอฟฟ์แมนซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปไหน แต่ระหว่างนี้เขาก็ล้มป่วยเสียก่อน , 18 มิถุนายน หลังหายป่วยเขาก็เดินทางไปพบครอบครัวที่โปเซน และตัวเขาเองเดินทางต่อไปยังกรุงเบอร์ลิน 
เมื่อมาอยู่ในเบอร์ลินเขาก็ต้องพบกับความยากลำบากอีกกว่า 15 เดือนเพราะไม่นานเมืองก็ถูกกองทัพฝรังเศสยึดเอาไว้ได้อีก ฮอฟฟ์แมนน์แทบไม่มีอาหารจะประทังชีวิต และต้องหยิบยืมเงินจะเพื่อนเก่าๆ ของเขา ซึ่งช่วงเวลานี้เองเขาก็ทราบข่าวว่าลูกสาวของเขาเสียชีวิตและภรรยาของเขาก็ล้มป่วย
ฮอฟฟ์แมนน์ได้พยายามที่จะหางานโดยการลงประกาศในหนังสือพิมพ์ Allgemeine Reichsanzeiger ว่าเขาสามารถทำงานในตำแหน่งผู้กำกับโรงละครได้ ,  ช่วงเวลานี้เขาใช้เวลาเขียน Six Canticles for a cappella ผลงานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของเขาที่เมืองนี้ 
1808 กันยายน เขาเดินทางมาพบกับภรรยาที่เมืองแบมเบิร์ก (Bamberg) โดยที่เขาได้งานเป็นผู้จัดการของโรงละครในเมืองนี้ แต่เพราะว่าผลงานของเขาเข้าไม่ได้กับทีมงานเดิม ทำให้เขาต่อมาเขาก็สูญเสียตำแหน่งไปภายในเวลาแค่ 2 เดือน 
ฮอฟฟ์แมนน์เริ่มทำงานใหม่เป็นคุณครูสอนเปียโน และเป็นนักวิจารณ์ดนตรี เขาเขียนคอลัมน์ลงในหนังสือพิมพ์ด้านดนตรีชื่อ Allgemeine musikalische Zeitung หนังสือพิมพ์ในเมืองลิปซิก (Leipzig) ซึ่งผลงานเขียนของเขาเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้อ่าน
1809 พิมพ์ผลงานเรื่อง Ritter Gluck เป็นนิทานเรื่องแรกของเขา ตีพิมพ์ลงใน Allgemeine musikalische Zeitung , ระหว่างที่อยู่ท่ีแบเบิร์กนี้เขามีผลงานเขียนบทความ บทวิจารณ์รวมแล้วกว่าร้อยเรื่อง บทวิจารณ์ของเขาเกี่่ยวกับผลงานซิมโฟนีหมายเลข (5th Symphony) ของบีโธเว่น (Beethoven) ถือเป็นผลงานเขียนที่ได้รับความยอมรับอย่างสูง
1810 ช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อนของฮอฟฟ์แมนน์ ชื่อฟรานซ์ โฮลเบียน (Franz von Holbein) ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการของโรงละครแบมเบิร์ก ฟรานซ์ จึงได้จ้างให้ฮอฟฟ์แมนน์ไปทำหน้าที่นักประพันธ์เพลง และดูแลเวที ซึ่งฮอฟฟ์แมนน์ตอบตกลง  , เขาตกหลุมรักกับลูกศิษย์ของเขาชื่อจูเรีย (Julia Mark) ซึ่งมาเรียนร้องเพลง เธอมีอายุเพียง 13 ปี แต่ว่าแม่ของเธอได้หาผู้ชายคนอื่นที่เหมาะสมให้กับลูกสาว ทำให้ฮอฟฟ์แมนผิดหวัง 
1811 เขาแต่งละครบัลเลย์เรื่อง Arlequin
1813 เขาเปลี่ยนชื่อแบ๊พติสของตัวเองจาก  Wilhelm ของตัวเองมาเป็น Amadeus  ตามชื่อของโมซาร์ท และใช้นามปากกาเป็น E. T. A. 
มีนาคม  ปรัสเซียประกาศสงครามกับฝรั่งเศส ในสงคราม  6th Coalition .ในขณะที่ฮอฟฟ์แมนน์ได้รับข้อเสนอจากโจเซฟ เซคอนด้า (Joseph Seconda) ให้มาทำงานในบริษัทผลิตโอเปล่าของเขา ซึ่งเปิดการแสดงอยู่ในเดรสเดน (Dresden)  ตอนนั้นเซคอนด้าอยู่ในเมืองลิปซิก แต่ว่าสงครามทำให้ฮอฟฟ์แมนน์…..
20 พฤษภาคม เขาและภรรยาขึ้นรถโดยสารออกจากเมือง แต่ว่ารถประสบอุบัติเหตุ จนภรรยาของเขาได้รับบาดเจ็บ
23 พฤษภาคม เดินทางมาถึงลิปซิก และเริ่มทำงานกับเซคอนด้า ซึ่งเดือนต่อมาพวกเขาก็กลับไปเปิดการแสดงในเดรสเดน 
สิงหาคม สงครามมาถึงเดรสเดน ทำให้ฮอฟฟ์แมนพาครอบครัวย้ายไปอยู่ชานเมือง 
1814 กันยายน เมื่อนโปเลียนแพ้ในสงคราม ฮอฟฟ์แมนน์ได้เดินทางกลับมายังเบอร์ลิน และได้ตำแหน่งงานราชการ ที่ศาลอุธรณ์ ในกรุงเบอร์ลิน 
มีผลงานเขียนเรื่อง Phantasiestücke in Callots Manier ซึ่งสร้างชื่อให้กับเขาในหมู่ของนักเขียน และช่วงเวลานี้มีปรากฏผลงานเขียนนวนิยายโรแมนติก The Gloden Pot, The Elixirs of the Devil ซึ่งภายหลังถูกรวมเป็นผลงานชื่อ Fantasy Pieces in Callot’s Manner
1816 โอเปร่า เรื่อง Undine ของฮอฟฟ์แมน เปิดแสดงในงานวันประสูตรของกษัตริย์เฟรดริช ที่ 3 (King Friedrich Wilhelm III) จัดแสดงที่ National Theater ในกรุงเบอร์ลินในเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นได้มีการแสดงอีกรวมแล้ว 14 รอบ โดยได้รับความชื่นชมอย่างมาก Undine เป็นโอเปร่าแนว
ปีนี้ยังปรากฏผลงาน The Nutcracker and the Mouse King ซึ่งเป็นนิทานที่เป็นแรงบัลดาลใจและโครงเรื่องให้กับ ทีไชคอฟสกี (Pyote Tchaikovsky) นำไปสร้างเป็นบัลเลย์ The Nutcracker ในปี 1892
1819 มีอาหารป่วยด้วยโรคซิฟิลิส และติดแอลกอฮอล 
ฮอฟฟ์แมนน์ ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเข้าไปทำหน้าที่สอบสวนคดี “persecution of demagogues” ซึ่งคดีนี้เกิดจากนักเขียนชื่อ August von Kotzebue ถูกนักศึกษาของเขาชื่อ Karl Ludwid Sand ฆ่าตาย ซึ่งฮอฟฟ์แมนน์แสดงให้เห็นความสามารถในการตัดสินคดีความของเขา แต่อย่างไรก็ดีบันปลายชีวิตของเขาต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคดีมากมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสรีนิยมและชาตินิยม โดยเฉพาะถูกกล่าวหาจากเจ้าชายเมตเตอร์นิช (Prince Klemens von Metternich) ว่าเป็นบุคคลอันตราย ไม่จงรักภักดี และเผยแพร่ความเชื่อที่เป็นภัย อย่างผลงานเทพนิยายเรื่อง Master Flea (1822) ของฮอฟฟ์แมน ซึ่งเขาเขียนสำหรับเทศกาลคริสมาสต์ ถูกทางการเซ็นเซอร์ และตัดบางบทออกก่อนได้รับอนุญาตให้พิมพ์
1822 เสียชีวิตบนโต๊ะภายในบ้านของเขาในเบอร์ลิน วันที่ 25 มิถุนายน อายุ 46 ปี บนโต๊ะพบสมุดไดอารี และผลงานเขียน Kater Murr ตอนสองซึ่งเขียนไม่เสร็จและเขากำลังแต่งโอเปร่าเรื่องใหม่  บ้านของฮอฟฟ์แมนน์นั้นตกแต่งด้วยภาพเขียนและงานแกะสลักแบบโกรเตก (grotesque)
, หลุมศพของเขาอยู่ในสุสาน Jerusalem and New Church, Halleschen Tor , Kreuzberg ในกรุงเบอร์ลิน ป้ายหลุมศพของเขา ใช้ชื่อจริง E. T. W.  Hoffmann
Don`t copy text!