your grace never been forgotten

Claude Monet

ออสคาร์-คลูด โมเน่ต์ (Oscar-Claude Monet)

เกิดวันที่ 14 พฤศจิกายน 1840 ในปารีส พ่อของเขาชื่อ ครูด อโดลฟ์  (Claude Adolphe Monet) ทำอาชีพเปิดร้านขายของชำ และแม่ชื่อหลุยส์ (Louise Justine Aubree Monet) 
1841 โมเนต์เข้าพิธีแบ๊พติซในวันที่ 20 พฤษภาคม ที่โบสถ์นอร์ทเตอร์ดัม (Notre-Dame-de-Lorette) โดยได้ชื่อใหม่ว่า ออสก้า (Oscar Claude)
1845 ครอบครัวย้ายมาอยุ่ที่เลอฮาฟร์ (Le Havre) นอร์มานดี (Normandy)
1851 เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะเลอฮาฟร์ (Le Havre secondary school of arts)  อาจารย์ที่สอนโมเน่ต์ชื่อ แจ๊ค-ฟรานเซียส (Jacques-François Orchard )ระหว่างเรียนโมเนต์เริ่มเขียนรูปการ์ตูนสีชอร์คขายเพื่อหารายได้พิเศษ 
1856 ประมาณปี 1856-57 ระหว่างที่เดินเล่นอยู่ริมหาดในนอร์มานดี โมเน่ต์ได้พบกับยูจีน เบาดิน (Eugene Boudin) ซึ่งยูจีนต่อมากลายเป็นคนที่สอนให้โมเนต์วาดรูปด้วยสีน้ำมัน โดยที่่ยูจีนมักจะพาลูกศิษย์ของเขาออกมานั่งวาดรูปกลางแจ้ง 
1857 28 มกราคม แม่ของโมเน่ต์เสียชีวิต ทำให้โมเนต์ออกจากโรงเรียน และไปอาศัยอยู่กับป้าชื่อมาเรีย (Marie-Jeanne Lecadre) 
ต่อมาโมเน่ต์ทำงานเป็นศิลปิน ด้วยการวาดภาพเลียนแบบผลงานที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาเห็นในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
1861 มิถุนายน สมัครเข้าเป็นทหารซึ่งต้องไปประจำการณ์อยู่ในอัลจีเรีย (Algeria) ซึ่งที่นั่นในปี ถัดมาโมเน่ต์ก็ล้มป่วยด้วยโรคไทฟอยด์ (typhoid fever) ป้าของเขาจึงได้ช่วยพาโมเนต์กลับไปฝรั่งเศสโดยที่เขาต้องสัญญาว่าจะกลับไปเข้าเรียนคอร์สศิลปะ  
1862 กลับมาเรียนศิลปะอีกครั้งในปารีส  โดยได้เรียนกับชาร์ล เกลียร์ (Charles Gleyre) ทำให้เขาได้รู้จักกับศิลปินคนอื่นอย่าง ออกัส เรนัวร์ (Auguste Renoir) อัลเฟรด ซิสลีย์ (Alfred Sisley) เฟรเดอริค บาซิลลี (Frederic Bazillir) ซึ่งกำลังสนใจเทคนิคในการวาดรูปแบบใหม่ ที่ตวัดปลายพู่กันสั้น หลงเหลือริ้วรอยของขนแปรง มีสีสั้น และมักจะหลีกเลี่ยงการใช้สีดำ และแทนที่แสงเงาด้วยการใช้สีหลากหลายร่วมกัน ซึ่งภายหลังเรียกกันว่าศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสซ์ 
1866 โมเน่ต์วาดภาพ The Woman in the Green Dress ซึ่งคามิลล์ นางแบบในภาพต่อมาก็กลายเป็นภรรยาของเขา 
1867 ลูกชายของโมเน่ต์กับคามิลล์ เกิดมา เด็กมีชื่อว่า ฌอน (Jean)
1870 28 มิถุนายน แต่งงานกับ  คามิลล์ ดอนชูกซ์ (Camille Doncieux)
กรกฎาคม, เกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franc-Prussia war) ทำให้โมเน่ต์ อพยพไปยังอังกฤษ โดยไปอาศัยอยู่ในลอนดอน 
1871 พฤษภาคม เดินทางมาที่เนเธอแลนด์ ที่เมืองซานดัม (Zaandam, Netherlands)
พฤศจิกายน, เดินทางกลับมายังฝรั่งเศส เขาไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่ออาร์เจติล (Argenteuil, Seine) ใกล้กับกรุงปารีส
1874 จัดนิทรรศกาลแสดงผลงานภาพเขียนของตัวเองครั้งแรก โดยภาพอย่าง Boulevard ds Capucines ถูกนำมาแสดงด้วย
โดยที่หลุยส์ เลรอย (Louis Leroy) นักวิจารณ์ศิลปะซึ่งมาชมงาน ประทับใจในภาพ  Impression, The Sunrise เลอรอย จึงเป็นผู้เขียนริเริ่มการใช้คำว่า Impressionism 
1876  คามิล เริ่มป่วยด้วยโรควัณโรค , ช่วงนี้โมเน่ต์มีเริ่มมีความสัมพันธ์ลับๆ กับผู้หญิงคนใหม่ อลิส โฮเชด (Alice Hoschede
1878 17 มีนาคม , ลูกชายคนที่สอง ชื่อมิเคล (Michel) เกิดมา แต่ว่ามีสุขภาพที่ไม่ดีเพราะว่าระหว่างที่ท้องนั้นภรรยาของโมเน่ต์มีอาการป่วย  หลังจากมิเคลเกิดมาไม่นาน โมเน่ต์ย้ายบ้านอีกครั้งไปอยู่ที่หมู่บ้านเวตฮอล (Vetheuil village) 
1879 คามิล , ภรรยาของโมเน่ต์เสียชีวิตวันที่ 5 กันยายน ด้วยโรควัณโรค โดยที่โมเน่ต์ได้วาดภาพของเธอขณะนอนสิ้นลมบนเตียงเอาไว้ด้วย
หลังภรรยาเสียชีวิต โมเน่ต์ส่งลูกชายสองคนให้กับอลิส  นำไปอยู่ที่ปารีส โดยท่ีอลิสยังมีลูกๆ ของเธอเองอีกหกคน 
1880 อลิส พาเด็กๆ กลับมาอยู่กลับโมเนต์ที่เวลฮอล
1881 สมาชิกทั้งหมดร่วมทั่งโมเน่ต์ย้ายไปอยู่พอสซี (Poissy) แต่ว่าโมเน่ต์ไม่ชอบที่นี่ ไม่นานจึงย้ายไปอยู่ในจิเวอร์นี่ (Giverny, Seine) ในนอร์มานดี 
1892 อลิสแต่งงานกับโมเน่ต์ หลังสามีเก่าที่แยกกันอยู่ของเธอเสียชีวิต  ช่วงปี 1890s นี้โมเน่ต์เริ่มวาดภาพกองฟาง Haystacks ออกมาจำนวนมาก โดยที่เขามักจะวาดวัตถุซ้ำๆ กัน แต่ต่างระยะเวลา ไม่ว่าจะกองฟาง หรือว่าโบสถ์ จนถึงก่อนปี 1900 ที่เขาเร่ิมหันว่าชอบการวาดภาพดอกบัวและทำมาเรื่อยๆ จนกระทั้งเกี่ยวกับสายตา 
1911 อลิสเสียชีวิต ส่วนโมเน่ต์ก็เริ่มมีอาการของต้อกระจก โมเน่ต์ได้รับการดูแลจากฌอนลูกชายคนโตของเขา
1923 รับการผ่าตัดรักษาต้อกระจก
1926 5 ธันวาคม เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอด ในจิเวอร์นี่  อายุ 83 ปี
 
Don`t copy text!