Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Erwin Rommel

เอร์วิน รอมเมล

เกิดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1891  ในไฮเดนฮีม (Heidenheil) ในราชอาณาจจักรเวอร์เตมเบิร์ก , จักรวรรดิเยอรมัน (Kingdom of Weürtember, German Empire) เขาเป็นลูกคนที่สองในพี่น้องสี่คน พ่อของเขาคือศาสตราจารย์เออร์วิน รอมเมล (Ermin Rommer, Senior) เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนมัธยมและอดีตเคยเป็นทหารในหน่วยปืนใหญ่ และแม่ชื่อเฮลีน  (Helene von Luz)
รอมเมลนั้นฝันอยากจะเป็นวิศวกรการบิน ในสมัยเรียนเขาเคยสร้างเครื่องร่อนร่วมกับเพื่อน แต่ว่าพ่อของเขานั้นไม่สนับสนุน เพราะอยากให้เขาเลือกเป็นครูหรือไม่ก็เป็นทหาร 
1908 ตอนอายุ 18 ปี เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารในแดนซิก (Schwäbisch Gmünd, Danzig) 
1910 เขาเป็นทหารของกองทัพเวอร์เตมเบิร์ก 
1912 มีความสัมพันธ์กับวัลเบิร์ก สเตมเมอร์ (Walberga Stemmer) ซึ่งในปีต่อมานางให้กำเนิดลูกสาวชื่อเกอร์ทรูด (Gertrude) เชื่อกันว่าน่าจะเป็นลูกของรอมเมล
1914 ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนได้รับรางวัล Iron Cross ชั้นที่ 2 
1915 ได้รับรางวัล Iron Cross ชั้นที่ 1 
1916 แต่งงานกับลูซี มอลลิน (Lucie Maria Mollin) พวกเขามีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งชื่อแมนเฟรด (Manfred, b. 1928)
1917 อยู่ในแนวรบด้านอิตาลี และได้รับตำแหน่งร้อยเอกหลังจากเป็นผู้นำในการโจมตี Monte Matajur 
หลังจากนั้นเขานำทหารหน่วยเล็กๆ ว่ายข้ามแม่น้ำไพว์ (Piave River) เพื่อยึดค่ายทหารอิตาลีที่ตั้งอยู่ที่ล๊อกนาโรนิ (Lognaroni)
กันยายน,สมรภูมิอิซออนโซ่ (Isonzo Front) บริเวณแม่น้ำอิซออนโซ่ ใน
ตุลาคมสมรภูมิคาโปเร็ตโต้ (Battle of Caporetto)และการยึดพื้นที่ Matajur
พฤศจิกายน , มีส่วนร่วมในการรบที่ลองกาโรน (Longarone Front)
ธันวาคม , ได้รับรางวัล Pour le Mérite รางวัลสูงสุดของเยอรมัน 
1918 หลังสงครามกลับไปประจำที่หน่วยทหารราบที่ 124 (7th Division, Infantry Regiment No.124) 
1928 ตุลาคม วัลเบิร์ก สเตมเมอร์เสียชีวิต 
1929 เป็นผู้ฝึกสอนในโรงเรียนฝึกทหารบกในเดรสเดน (Dresden) 
1935 ได้รับยศพันโท  และมาทำการสอนที่สถาบันทหารในพอต์สดัม (Potsdam War Academy)
1937 พิมพ์หนังสือ Infanterie greift an (Infantry Attacks) เกี่ยวกับกลยุทธ์และการรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1  ซึ่งหนังสือถูกอ่านโดยฮิตเลอร์ และฮิตเลอร์ประทับใจมาก
1938  เยอรมันผนวกออสเตรีย 
1939 1 กันยายน, รอมเมลได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการของศูนย์บัญชาการใหญ่อิตเลอร์ (Hitler’s headquarters) เป็นวันเดียวกันกับที่ เยอรมันบุกโปแลนด์ (Invastion of Poland) ซึ่งกลายเป็นฉนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2
1940 กุมภาพันธ์, พ้นตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการใหญ่  และได้รับหน้าที่ใหม่เป็นผู้บัญชาการทหารหน่วยแพนเซอร์ ที่ 7 (7th Panzer Division)
พฤษภาคม, หน่วยแพนเซอร์ ที่ 7 บุกฝรั่งเศส ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่รวดเร็วจนถูกต้้งฉายาว่าเป็น Ghost Division
1941 มุสโสลินี (Benito Mussolini) ได้ขอความช่วยเหลือจากฮิตเลอร์ในการยึดอัฟริกาเหนือ รอมเมลจึงถูกส่งไปบัญชาการหน่วยแอฟริกัน (Afrika Krop) ซึ่งสามารถขับไล่หน่วยที่ 8 ของกองทัพอังกฤษ (British 8th Army) ให้ถอนกำลังกลับไปอียิปต์ได้ 
1942 Battle of Alam Halfa, นำทหารบุกอียิปต์ แต่ว่าต้องแพ้ให้กับทหารของเอล อลาไมน์ (El Alamein)
มิถุนายน, Battle of Tobruk  
พฤศจิกายน, Operation Torch ของกองทัพสหรัฐได้เข้ามาในโมร็อกโคและอัลจีเรีย
1943 กุมภาพันธ์, เขาออกจากแอฟริกา และปล่อยให้ทหารในตูนิเซียอยู่ใต้การดูแลของนายพลฮานส์ (Hans-Jürgen von Armin) ซึ่งเดือนต่อมาทหารเยอรมันในตูนิเซียก็ยอมวางอาวุธ
กรกฏาคม, เขาอยู่ในกรีกและเป็นผู้บัญชาการทหาร Group E ซึ่งดูแลชายฝังกรีกป้องกันการบุกของทหารอังกฤษ แต่ภายหลังทราบว่าปฏิบัติการขึ้นฝั่งที่กรีกนั้นเป็นข่าวลวงที่ฝ่ายอังกฤษสร้างขึ้น 
1944 มกราคม ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลทหาร Group B ประจำการอยู่ในนอร์มันดี (Normandy) ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งรอมเนลได้ดูแลให้มีการสร้าง Atlantic Wall สิ่งกีดขวางจำนวนมากขนาดใหญ่ ที่จะใช้หยุดการยกพลขึ้นบกของสัมพันธมิตร
6 มิถุนายน, D-Day สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มันดี  
15 กรกฏาคม, Operation Overlord ของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้รอมเมลซึ่งบัญชาการทหารอยู่ในเยอรมัน เตือนฮิตเลอร์ว่าเยอรมันเสี่ยงจะแพ้สงคราม
17 กรกฏาคม, รอมเนลได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนจากเครื่องบินอังกฤษที่ยิงโดนรถที่เขาโดยสาร รอมเนลจึงถูกส่งตัวกลับมาที่บ้านในอูลม์ (Ulm) เพื่อรักษาตัว 
20 กรกฏาคม, แผนการลอบสังหารฮิตเลอร์  (July Plot) ล้มเหลว รอมเมลเคยถูกชักชวนโดยลุดวิก เบ็ค(Ludwig Beck) และคาร์ล กอร์เดอเลอร์(Carl Goerdeler) ให้ร่วมในแผนการณ์สังหารฮิตเลอร์แต่ว่าเขาปฏิเสธ อย่างไรก็ตามการทำเขารู้แผนการณ์สังหารนี้แต่เฉย ทำให้เขาถูกไม่ได้รับความไว้วางใจอีก
14 ตุลาคม, นายพลวิลเฮม (Wilhelm Burgdorf), นายพลเอิร์น ( Ernst Maisel) ส่งมาโดยฮิตเลอร์ ซึ่งได้ยืนคำขาดต่อรอมเมลให้เขาฆ่าตัวตาย โดยที่ครอบครัวของเขาจะไม่มีความผิดและเขาได้รับเกียรติให้จัดรัฐพิธีศพ หรือว่าจะถูกจับและถูกสอบสวนในข้อหาทรยศ  , รอมเมลจึงฆ่าตัวตายโดยการกินยาพิษ และทางการเยอรมันออกข่าวว่าเขาตายเพราะอาการเส้นเลือดในสมองแตก
18 ตุลาคม, มีการจัดพิธีศพแบบรัฐพิธีให้กับรอมเนล 
Don`t copy text!