Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Frederick Douglass

เฟรเดริค ดักลาส (Frederick Augustus Washington Bailey) 

ดักกลาส ในตัลบอท, แมรี่แลนด์ (Talbot country, Maryland) วันเกิดของเขาไม่ชัดเจน แต่เขาเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1818 เป็นวันเกิด ชื่อจริงคือ เฟรเดริค เบลีย์ , เขาเกิดมาในสภาพที่เป็นทาสตั้งแต่แรก แม่ของเขาชื่อว่าฮาร์เรียต เบลีย์ (Hariet Bailey) พ่อของเขานั้นเป็นชายผิวขาวที่ไม่ปรากฏชื่อ 

ดักกลาสถูกนำไปฝากไว้กับยายเบตตี้ (Betty Bailey) และป้า โดยที่มีโอกาสพบแม่ของตัวเองน้อยมาก (เธอเสียชีวิตตอนที่เขาอายุ 10 ปี)

เมื่อายุ 7 ปี ดักกลาสก็ถูกส่งไปอยู่ที่ไวเฮาท์ (Wye House) บริษัทปลูกป่า ในแมรีแลนด์ โดยที่ดักกลาสอยู่ภายใต้การดูแลของอารอน แอนโธนี่ (Aaron Anthony) 

1826 เมื่ออายุได้ 8 ปีเขาถูกขายต่อให้กับโธมัส อูล์ด (Thomas Auld) และต่อมาถูกส่งให้กับพี่ชายของโธมัส ชื่อฮุกห์ (Hugh Auld) ที่เป็นช่างไม้อยู่ในบัลติมอร์ และได้มีโอกาสเรียนอ่านหนังสือครั้งแรกโดยโซเฟีย (Shphia) ภรรยาของฮุกห์เป็นคนสอน ซึ่งฮุกห์ไม่เห็นด้วยเพราะขัดกับกฏหมายของแมรี่แลนด์ในเวลานั้น และกลัวว่าทาสที่มีความรู้จะมีข้อเรียกร้องมากขึ้น 

เมื่อมีโอกาสดักกลาสยังแอบเรียนหนังสือด้วยตัวเองโดยแอบดูการเรียนของเด็กผิวขาว และพยายามอ่านตัวหนังสือต่างๆ ที่พิมพ์อยู่รอบตัว

1833 โธมัสเรียกตัวดักกลาสกลับมา และส่งเขาไปอยู่กับชาวไร่จนๆ ชื่อเอ็ดเวิร์ด โคเวย์ (Edward Covey) ซึ่งชอบทำร้ายทาส ดักกลาสถูกทำร้ายเป็นประจำ

1836 1 มกราคม, เขาตั้งปณิธานในวันปีใหม่ว่าเขาจะต้องเป็นไทมีอิสรภาพ และวางแผนที่จะหลบหนีให้ได้ภายในปีนี้

เมษายน, แผนการของเขาถูกค้นพบเสียก่อนทำให้เขาถูกจับขังคุก

หลังจากพ้นโทษได้กลับมาทำงานเป็นกรรมกรรในอู่ต่อเรือที่บัลติมอร์อีก

1838 3 กันยายน, เขาหลับหนีออกจากเมืองโดยทางรถไฟ และเรือ ไปยังนิวยอร์ค 

15 กันยายน, ระะหว่างที่อยู่ในนิวยอร์คเขาได้แต่งงาน กับแอนนา เมอร์เรย์ (Anna Murray) เธอเป็นผู้หญิงผิวดำ แต่ไม่ได้เป็นทาส และมีอายุมากกว่าดักกลาสห้าปี ทั้งคู่พบรักกันระหว่างที่ดักกลาสทำงานอยู่ในฟาร์มของโคเวย์ 

ช่วงเวลานี้ดักกลาสนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เฟรเดริค ดักลาส (Frederick Douglass) ชื่อตามตัวละครเอกในเรื่อง The Baly of the Lake ของวอลเตอร์ สก๊อต (Sir Walter Scott) หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปอยู่ในนิว เบดฟอร์ด, แมสซานชูเซตต์ (New Bedford, Massachusetts)

ที่เมืองนี้ดักลาสเข้าร่วมกิจกรรมกับหลายองค์กรที่สนับสนุนการเลิกทาส 

1841 เขาได้ฟังการพูดของวิลเลี่ยม การ์ริสัน (William Lloyd Garrison) ระหว่างการประชุมประจำปีของสมาคมต่อต้านการใช้แรงงานทาสบริตอล (Bristol Anti-Slavery Society) ทำให้เขาเกิดแรงบัลดาลใจ

ไม่กี่วันต่อมาดักลาสได้ขึ้นไปกล่าวคำปราศรัยบ้าง ในการประชุมของสมาคมต่อต้านการใช้แรงงานทาสแมสซานชูเซตต์ (Massachusetts Anti-Slavery Society) จัดขึ้นในนันตัคเก็ต (Nantucket) ซึ่งการปราศรับครั้งนี้ทำให้เขาได้ทำสัญญาเป็นคนแล็คเชอร์ให้กับสมาคมเป็นเวลาสามปี 

1845 เขาตีพิมพ์ชีวประวัติของตัวเอง ในชื่อ Narrative of the Life of Frederick Douglas, an American Slave, Written by Himself

สิงหาคม, เขาล่องเรือไปยังไอร์แลนด์ และใช้เวลาอยู่ที่ไอร์แลนด์และอังกฤษกว่าสองปี โดยได้มีโอกาสไปบรรยายตามงานของโบสถ์ต่างๆ 

1846 ดักกลาสได้รับอิสรภาพ หลังจากผู้สนับสนุนเขานำโดยเอลเลน ริชาร์ดสัน (Ellen Richardson) ได้ช่วยหาทุนเพื่อซื้ออิสรภาพของเขาจากโธมัส อูล์ด เจ้าของเดิม 

1847 เขากลับมาถึงสหรัฐฯ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ

1848 ทำนิตยสารรายสัปดาห์ ชื่อ  The North Star ออกมา โดยมีความหนาเพียงสี่หน้า และจำหน่ายอยู่แค่ในเขตโรเชสเตอร์ ของนิวยอร์ค

1851 The North Star เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น Frederick Douglass’ Paper

1852 ในที่ประชุมสมาคมต่อต้านการใช้แรงงานทาสในการทอผ้าแห่งโรเชสเตอร์ (Rochester Anti-Slavery Sewing Soceity) ดักกลาสได้ขึ้นกล่าวปราศรัย ซึ่งกลายเป็นสุนทรพจน์ที่รู้จักกันในชื่อ The Meaning of 4 July For Nigro

1855 My Bondage and My Freedom

1861 เร่ิมเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกา (Civil War, 1861-1865) ดักกลาสเห็นว่าสงครามครั้งนี้เป็นโอกาสในการปลดปล่อยทาส โดยระหว่างสงครามดักลาสทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนในการหาทหารอาสาสมัครให้กับหน่วยทหารที่ 54 (54th Regiment Massachusetts Volunteer Infantry) โดยที่ลูกชายของดักกลาสชื่อชาร์ล ได้ร่วมในหน่วยนี้ด้วย 

1870 เริ่มทำหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ในชื่อ the New National Era แต่ไม่กี่ปีหนังสือพิมพ์ก็ปิดตัวไปจากปัญหาเศรษฐกิจ

1874 ดักกลาสได้รับเลือกเป็นประธานธนาคารฟรีดเมน (Freedmen’s Bank) ธนาคารสำหรับคนเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน  แต่ว่าตอนที่ดักกลาสเข้ามานั้นธนาคารใกล้จะล้มแล้ว ดักกลาสพยายามขอการสนับสนุนการรัฐสภาแต่ไม่สำเร็จ ในเดือนมิถุนายนธนาคารก็ถูกปิดไป

1877 ในสมัยของประธานาธิบดีรูเธอฟอร์ด (Rutherford Hayes) ได้มอบให้ดักลาสเป็นมาร์แชล ประจำ ดี.ซี.(U.S. Marshal ,เจ้าหน้าที่อาวุโสในกระบวนการยุติธรรม ทำหน้าที่บังคับใช้กฏหมาย เช่น นำจับผู้ต้องหาตามคำสั่งศาล)  เมื่อได้รับตำแหน่งใหม่ เขาจึงพาภรรยาและลูกย้ายมาอยู่ใน วอชิงตัน ดี.ซี. 

1881 Life and Times of Frederick Douglass ชีวประวัติเล่มสุดท้ายของเขาพิมพ์ออกมา

1895 20 กุมภาพันธ์, เสียชีวิตภายในบ้านพักด้วยอาการหัวใจวาย หลังจากเพิ่งกลับมาจากการประชุมสภาสตรีแห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี. 

Don`t copy text!