Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Marco Polo

มาร์โค โปโล (Marco Polo)
ผู้เขียน The Travels of Marco Polo

มาร์โค เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 1254 ในเมืองเวนิช, เมืองหลวงของสาธารณรัฐเวนิช (Republic of Venice) พ่อของเขาเป็นพ่อค้าชื่อนิคโคโล่ (Niccolò) ซึ่งทำงานค้าขายกับเมืองทางตะวันออกของเวนิชพร้อมกับพี่ชายของเขาชื่อแมตทีโอ (Matteo, Maffeo) ซึ่งเป็นลุงของมาร์โค

1252 ก่อนที่มาร์โคจะเกิด พ่อของเขาและลุง เดินทางมาทำการค้าที่คอนสแตนติโนเปิ้ล (Constantinople) โดยอาศัยอยู่ในย่านของชาวเวนิส  ขณะนั้นคอนสแตนติโนเปิ้ลเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิลาติน (Latin Empire)
1259 พวกพ่อของมาร์โคได้ออกจากเวนิช เพราะปัญหาของสงครามซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงของสงครามครูเสด ครั้งที่ 4 (4th crusade) สมาชิกของครอบครัวโปโลได้ย้ายไปทำการค้าในเมืองซูดัก (Sudak) ในไครเมีย (Crimea)  ขณะนั้นเป็นดินแดนของอาณาโกลเด้นฮอร์ด (Golden Horde) ของชาวมองโกล
เหล่าพ่อค้าตระกูลโปโลได้เดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังตะวันออกจนถึงกรุงซาเรีย (Sarai) เมืองหลวงของโกลเด้นฮอร์ด
1261 มิคาอิล (Michael VIII Palaiologos) จักรพรรดิแห่งนิคาอา (Nicaea Empire) ยึดคอนสแตนติโนเปิ้ลเอาไว้ได้ และได้สถาปนาอาณาจักรโรมันตะวันออกขึ้นมาใหม่ โดยที่ชาวเวนิชในคอนสแตนติโนเปิ้ลถูกไล่ล่า คนที่ถูกจับได้จะถูกทำให้ตาบอด ส่วนที่เหลือได้หนีออกจากเมืองไปยังเกาะในทะเลเอเจี้ยนซึ่งบางเกาะเป็นดินแดนของสาธารณรัฐเวนิช
1264 ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากุ๊บไลข่าน (Kublai Khan) จักรพรรดิมองโกลแห่งราชวงศ์หยวน (Yuan danasty) ที่ปกครองประเทศจีน
1266 นิคโคโล่ เดินทางมาถึงยังคานบาลิก (Khanbaliq) หรือกรุงปักกิ่งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน
เมื่อนิคโคโล่, ลุงแมตทีโอ ได้เดินทางกลับ กุ๊บไลข่านได้ส่งชาวมองโกลชื่อโกกีไต (Koeketei) เดินทางกลับมาพร้อมกับพวกเขาด้วยในฐานะฑูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปา แต่ว่าโกกีไตเดินทางมาได้แค่ครึ่งทางก็แยกจากคณะของโปโล
1269 นิคโคโล่และพี่ชายเดินทางกลับมายังเวนิช และได้พบกับมาร์โคลูกชายเป็นครั้งแรก
1271 พระสันตะปาปากริกอรี ที่ 10 (Pope Gregory 10th) ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
มาร์โค โปโล ซึ่งมีอายุ 17 ปี ได้ออกเดินทางพร้อมกับพ่อและพี่ชายเป็นครั้งแรก หลังจากพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ได้อ่านพระราชสาสน์ของกุ๊บไลข่าน ที่พ่อค้าโปโลนำกลับมา, จักรพรรดิกุ๊บไลข่านนั้นต้องการให้พระสันตะปาปาส่งมิสชันนารีร้อยคนเพื่อไปสอนศาสนาให้กับชาวจีน และต้องการน้ำมันจากตะเกียงในนครเยรูซาเล็ม
สมาชิกตระกูลโปโลได้ออกเดินทางกลับไปยังจีนอีกครั้งหนึ่งตามพระบัญชาของพระสันตะปาปา โดยมีนักบวชสองรูปชื่อ นิคโคโล (Niccolo of Vicenza) และวิลเลี่ยม (William of Tripoli) ร่วมคณะเดินทางด้วย แต่ว่านักบวชทั้งสองคนเกิดความหวาดกลัวระหว่างเดินทางจึงไม่ได้เดินทางไปถึงยังเมืองจีน แต่ว่ามาร์โค เดินทางไปจนกระทั้งถึงกรุงปักกิ่ง
1291 มาร์โค เดินทางออกจากเมืองจีน โดยขากลับนี้เขาเดินทางโดยใช้เรือออกจากท่าเรือในชวนโจว (Quanzhou) ระหว่าการเดินทางทางทะเลหลายปี เขาได้แวะที่เกาะสุมาตรา, ศรีลังการ, อินเดีย, และเปอร์เซีย
1295 กลับมาถึงยังเมืองเวนิช พร้อมกับหินอัญมณีมีค่ามากมาย แต่ช่วงเวลาที่เขากลับมานั้นเวนิชกำลังทำสงครามกับสาธารณรัฐเจนัว (Republic of Genoa)
1296 มาร์โคถูกจับตัวได้โดยทหารของเจนัว เขาถูกนำตัวไปขังในเรือนจำที่เจนัว ระหว่างนี้มาร์โคจึงใช้เวลาในห้องขังเล่าเรื่องราวการเดินทางไปยังเมืองจีน ให้กับรัสติเชลโล่ แห่ง ปิซ่า (Rustichello da Pisa) เพื่อนซึ่งถูกขังอยู่ด้วยกันฟัง  รัสติเซลโล่ เป็นคนจดเรื่องที่มาร์โคเล่าลงในสมุดด้วยโฟรเว่น (Provençal language) เป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณที่ชนกลุ่มน้อยทางตอนใต้ใช้ และมาร์โคไม่ได้ใช้ภาษานี้
ต้นฉบับที่เขียนโดยรัสติเซลโล่ ที่เล่าการเดินทางของมาร์โค โปโลนี้ ต้นฉบับใช้ชื่อว่า Le divisament dou monde ต่อมาภายหลังถูกรู้จักกันในชื่อ Il Milione (The Million) หรือ The Travels of Marco Polo

1299 1 สิงหาคม, ได้รับการปล่อยตัว หลังจากนั้นเขาเดินทางกลับมายังเวนิช โดยที่พ่อของเขาได้ซื้อบ้านหลังใหญ่เอาไว้ในย่านซานจิโอวานี (San Giovanni) ใจกลางเมืองเพื่อตั้งบริษัททำการค้า พวกเขาที่มีฐานะร่ำรวยอยู่แล้วยิ่งร่ำรวยขึ้นไปอีก แต่ไม่ได้ออกเดินทางผจญภัยด้วยตัวเองอีก แต่เขาให้เงินทุนสนับสนุนกับคณะนักเดินทางคนอื่น ๆ แทน
1300 แต่งงานกับโดนาต้า บาดัวร์ (Donata Badoer) พวกเขามีลูกสาวด้วยกันสามคน ชื่อ ฟานติน่า (Fantina), เบลเลล่า (Bellela), โมเรต้า (Moreta)

ช่วงปี 1310s มาร์โคได้เขียน Il Millione ใหม่ โดยใช้ภาษาอิตาลี ซึ่งต่อภายหลังต้นฉบับที่มาร์โค เขียนเองได้สูญหายไป แต่ว่าก่อนมันจะสูญหาย นักบวชชื่อฟรานเซสโก้ ปิปิโน (Francesso Pipino) ได้นำไปแปลเป็นภาษาลาตินเรียบร้อยแล้ว และฉบับลาตินนี้ก็ถูกแปลกลับมาเป็นภาษาอิตาลี แต่ว่าหนังสือที่มีหลายเวอร์ชั่นกลับมีความขัดแย้งในเรื่องราวในบางเรื่อง
พ่อของมาร์โค เสียชีวิตช่วงปี 1300s นี้ และลุงแมตทีโอ เสียชีวิตราวปี 1310
1324 8 มกราคม, ในวัย 70 ปี มาร์โค โปโล เสียชีวิตบนเตียงนอนของตัวเอง หลังจากล้มป่วยมาระยะหนึ่ง ร่างของเขาถูกนำไปฝังที่โบสถ์ซานโลเรนโซ่ (Church of San Lorenzo, Venice)
ประโยคสุดท้ายที่มาร์โค โปโลพูดก่อนสิ้นใจคือ “ข้าได้เล่าแค่ครึ่งของที่ได้เห็นมา / I did not tell half of what I saw”

Don`t copy text!