Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Emperor Hirohito

จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (쇼와 천황)

จักรพรรดิองค์ที่ 124 แห่งญี่ปุ่น

ฮิโรฮิโตะ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 29 เมษายน 1901 ในพระราชวังโอยามะ (Aoyama Palace) ในสมัยของจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) โดยทรงเป็นพระราชนัดดาของจักรพรรดิ

พระบิดามารดาของฮิโรฮิโตะ คือเจ้าชายโยชิฮิโตะ (Crown Prince Yoshihito) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งมงกุฏราชกุมาร กับเจ้าหญิงซาดาโกะ (Crown Princess Sadako)

เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงดำรงพระยศเป็นจ้าชายมิชิ (Prince Michi) และทรงถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของกาวามูระ ซุมิโยชิ (Kawamura Sumiyoshi) อดีตนายพลแห่งกองทัพเรือ จนกระทั้งเมื่อทรงมีอายุ 3 ชันษา กาวามูระ ก็เสียชีวิต  ฮิโรฮิโตะจึงได้ถูกส่งกลับมาอยู่ในราชสำนัก

1908 เข้าเรียนประถมที่โรงเรียนกาคุชุย (学習院, Gakushuin Primary school)

1912 30 กรกฏาคม, จักรพรรดิเมจิสวรรคต และเจ้าชายโยชิฮิโตะ ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิไทโช (Emperor Taisho) และเจ้าญิงซาดาโกะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีซาดากิ (Empress Sadaaki)

1914 หลังจากจบจากโรงเรียนกาคุชุยแล้วก็ทรงเข้ารับการเรียนการสอนในโรงเรียนพิเศษที่จัดขึ้นสำหรับพระองค์โดยเฉพาะ ซึ่งระหว่างเรียนหนังสือทรงมีความสนพระทัยในวิชาชีววิทยาของสัตว์ทะเลเป็นพิเศษ ซึ่งภายหลังพระองค์ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในทะเลเอาไว้หลายเล่ม

1916 2 พฤศจิกายน, ฮิโรฮิโตะได้รับพระราชทานตำแหน่งมงกุฏราชกุมาร

1921 เดินทางไปยังยุโรปหลายประเทศเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งทรงเป็นมงกุฎราชกุมารพระองค์แรกของญี่ปุ่นที่เสด็จต่างประเทศ โดยได้เสด็จเยือนฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, อิตาลี และอังกฤษ

29 พฤศจิกายน, ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะจักรพรรดิไทโชพระบิดาทรงพระประชวรด้วยอาการทางจิต

13 ธันวาคม, ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาสี่ฝ่าย (Four-Powr Treaty) กับสหรัฐฯ​, อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งยอมรับเขตแดนในมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างกัน 

1922 6  กุมภาพันธ์, ทำสนธิสัญญาทางทะเลวอชิงตัน (Washington Naval Treaty) เพื่อจำกัดการขยายกองทัพเรือของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น, อิตาลี, ฝรั่งเศส, สหรัฐฯ และอังกฤษ

สิงหาคม, ญี่ปุ่นยอมถอนทหารออกจากไซบีเรีย

1923 1 กันยายน, เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในคันโตะ (Great Kanto earthquake) 

27 ธันวาคม, (Toranomon Incident) ฮิโรอิโตะ ถูกลอบปลงพระชนษ์โดยไดสุเกะ นามบะ (Daisuke Namba) ซึ่งนิยมลัทธิคอมมิวนิตส์ แต่ว่าความพยายามนี้ล้มเหลว

1924 26 มกราคม, ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงนากาโกะ (Princess Nagako Kuni) ซึ่งต่อมาทรงมีพระโอรส 2 พระองค์และพระธิดา 5 พระองค์

1926 25 ธันวาคม, จักรพรรดิไทโช สวรรคต, ฮิโรฮิโตะจึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโชวะ (Emperor Shōwa (昭和))

1928 10 พฤศจิกายน, มีการประกอบพิธีบรมราชาภิเษก

1931 กันยายน, (Mukden incident) ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย ทางภาคอีสานของจีน และได้ตั้งรัฐบาลแมนจูกั๋ว (Manchukuo) ขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด

1932 9 มกราคม, (Sukuradamon Incident) ​ทรงรอดจากการลอบปลงพระชนอีกครั้งหนึ่ง โดยในเหตุการณ์นี้ชาวเกาหลีชื่อลี บองชาง (Lee Bong-chang) ได้ใช้ระเบิดมือในการก่อเหตุ เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับเกาหลี แต่ว่าระเบิดพลาดถูกเพียงแค่ทหารที่อารักขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น

15 พฤษภาคม, นายกรัฐมนตรีซีโยชิ (Inukai Tsuyoshi) ถูกลอบสังหาร

1936 กุมภาพันธ์, (February 26  incident) ร้อยเอกชิโร โนนากะ (Shiro Nonaka)  และทหารในกองทัพญี่ปุ่นกว่า 500 คนได้พยายามทำการปฏิวัติ โดยสามารถยึดสำนักงานตำรวจแห่งชาติในโตเกียวเอาไว้ได้ แต่ว่าการปฏิวัติล้มเหลว เมื่อจักรพรรดิทรงนำทหารหน่วยโคโนเอะ (Konoe division) ปราบปรามได้สำเร็จในอีกสามวันต่อมา

1937 พฤศจิกายน, (2nd Sino-Japanese war) เกิดสงครามใหญ่ระหว่างญี่ปุ่นและจีนอีกครั้ง โดยที่ฝ่ายจีนได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและสหรัฐฯ 

1938 มิถุนายน-ตุลาคม, (Battle of wuhan) ญี่ปุ่นพยายามบุกยึดวู่ฮั่น ซึ่งกลายเป็นสมรภูมิใหญ่ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งระหว่างสงครามนี้ฮิโรฮิโตะได้อนุญาตให้กองทัพญีปุ่นในการใช้อาวุธเคมี ถึง 375 ครั้ง

1940 27 กันยายน, มีการลงนามในสัญญาเบอร์ลิน (Berlin Pact) ระหว่างญีปุ่น, เยอรมัน, และอิตาลี ซึ่งเป็นการร่วมมือทางการทหารระหว่างสามประเทศ ซึ่งถือเป็นการก่อตั้งกลุ่มอักษะ (Axis Powers) 

25 พฤศจิกายน, สหรัฐฯ ยืนหนังสือทางการทูต ซึ่งเรียกว่า Hull note ให้กับญี่ปุ่น ซึ่งเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนทหารออกจากจีนและอินโดจีนซึ่งอยุ่ในครอบครองของฝรั่งเศส

8 ธันวาคม, ญีปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ​ ในอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor) 

1942 มิถุนายน, สมรภูมิมิดเวย์ (Battle of Midway) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของญี่ปุ่นในสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นแพ้ในการรบให้กับสหรัฐฯ ในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก

1945 พฤษภาคม, นาซีเยอรมันยอมแพ้ในสงคราม 

26 กรกฏาคม, ฝ่ายสัมพันธมิตรอออกประกาศพอตสตัม (Potsdam Declaration) ให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข

6 สิงหาคม, สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิม่า

9 สิงหาคม, สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อีกครั้งที่เมืองนางาซากิ

15 สิงหาคม, จักรพรรดิฮิโรฮิโตะอ่านแถลงการณ์ประกาศว่าญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงคราม

หลังสงครามโลก มีความพยายามเรียกร้องให้ฮิโรฮิโตะต้องรับผิดชอบความผิดจากการริเริ่มและแพ้ในสงครามโลก และต้องถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในฐานะอาชญากรสงคราม แต่ดูเหมือนว่าพระองค์หลุดพ้นความผิดมาได้เพราะนายพลแม็ค อาร์เธอร์ (Douglas MacArthur) ต้องการให้พระองค์อยู่ในตำแหน่งต่อไปในฐานะสัญลักษณ์ของประเทศ และจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ในการใช้พระองค์ควบคุมให้ประชาชนญี่ปุ่นเชื่อฟังได้ง่ายกว่า

1946 1 มกราคม, (人間宣言,Human declaration) หนังสือพิมพ์ทางการตีพิมพ์จดหมายของฮิโรฮิโตะ ที่ทรงประกาศยอมรับว่าพระองค์เป็นมนุษย์มิใช่เทพเจ้า ซึ่งตามความเชื่อเดิมแบบชินโตของญี่ปุ่นพระจักรพรรดิ คือ อะะราฮิโตกามิ (arahitogami) หรือเทพเจ้าในร่างของมนุษย์ ที่สืบเชื้อสายมาจากเทพีอะมาเตราสุ (Amaterasu) อย่างไรก็ตามฮิโรฮิโตะยังสงวนความเชื้อว่าสมาชิกราชวงศ์ได้สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้า

1947 3 พฤษภาคม, ญี่ปุ่นประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งนำระบบรัฐสภามาใช้ และกำหนดให้จักพรรดิเป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศและศูนย์รวมของประชาชน

1971 เสด็จเยือนต่างประเทศอีกครั้งเป็นครั้งแรกหลังจากสงครามโลก

1975 เสด็จเยือนสหรัฐฯ 

1987 22 กันยายน, เข้ารับการผ่าตัดตับอ่อน

1988 19 กันยายน, ทรงพระประชวรอีกครั้ง และพระอาการก็ทรุด

1989 17 มกราคม, สวรรคตในรุ่งเช้า เวลา 6.33 เมื่อพระชนษ์ได้ 87 พรรษา โดยทรงเป็นจักรพรรดิที่ครองราชย์นานที่สุดของญี่ปุ่น ถึง 62 ปี 

Don`t copy text!