Семи Сумионах เจ็ดซีเมียน
ณ. อาณาจักรซึ่งปกคลุมได้ด้วยท้องทะเล และเกาะต่างๆ มากมาย ทั้ง่ยังมีภูเขาสูง แม่น้ำสายใหญ่หลายสิบแห่งไหลผ่าน มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง มันเป็นเมืองที่ใหญ่มาก และมีพระเจ้าซาร์นามว่าอาร์ชิเดีย (Archidei) ทรงมีนามสกุลว่าแอกเจียวิช (Aggevitch)
อาร์ชิเดียทรงเป็นกษัตริย์อันเป็นที่รัก และทรงมีพระสติปัญญาฉลาด มีทรัพย์สินมากมาย พร้อมด้วยกองทัพมหืมา อาณาจักรของพระองค์มีเมืองอยู่ 40 เมือง และแต่ละเมืองจะมีปราสาทซึ่งสร้างด้วยประตูเงินและหลังคาทองคำ พระดับหน้าต่างด้วยคริสตอลที่สวยงาม
ทรงมีขุนนางที่ปรึกษาอยู่ 12 คน แต่ละคน(มั่งคั่ง) มีขนมปังยาวเป็นไมล์และยังรอบรู้ ทุกคนต่างก็ภักดีต่อซาร์ ไม่มีใครกล้าที่จะโกหก
ซาร์เช่นนี้ควรจะมีความสุขสินะ ? ใช่ ใครก็ตามที่ร่ำรวยและฉลาดแต่ไม่หัวใจไม่รู้จักพอแล้ว ต่อให้มีปราสาททองคำก็ไม่อาจจะช่วยให้เขาพอดีได้ ซาร์อาร์ชิเดียทรงเป็นเช่นนั้นด้วย ทรงฉลาด ทรงร่ำรวย แต่กลับไม่สามารถหาคนรู้ใจของพระองค์ได้ ทรงต้องการหญิงที่ร่ำรวยและสวย ได้เทียบเท่ากับพระองค์ นี้คือความโศกเศร้าของจักรพรรดิ
อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทรงประทับที่เก้าอี้ทองคำและมองออกไปนอกหน้าต่าง ทรงทอดพระเนตรเห็นเรือใบลำหนึ่งลอยมาอยู่ตรงด้านหน้าของปราสาท เรือใบลำนั้นผูกเชือกเข้ากับท่าเรือแล้วก็ลดใบของมันเก็บ สมอขนาดใหญ่ถูกโยนลงไปในน้ำทะเลจากนั้นลูกเรือก็เตรียมตัวที่จะขึ้นฝั่ง ลูกเรือต่างเดินไปหาพ่อค้าแก่ๆ คนหนึ่ง ที่มีเคราสีขาว และท่าทางก็เป็นคนที่น่าเกรงขาม พระเจ้าซาร์ทรงนึกในใจว่า “พ่อค้าทางทะเลน่าจะมีข่าวหรือความรู้มากมาย ถ้าข้าลองไปปรึกษาเขาดู ข้าอาจจะได้รู้ว่าที่แห่งไหนที่มีเจ้าหญิง ที่ทั้งรูปงามและฉลาด เหมาะสมกับตัวข้า, ซาร์ผู้เลิศเลอ”
พระองค์ไม่ทรงรอช้า ได้สั่งให้องค์รักษ์ไปนำตัวพ่อค้าทะเลมาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง
ซาร์และเหล่าขุนนางได้รับการคาราวะจากพ่อค้า ซาร์สั่งให้ข้าบริวารเอาไวน์สีเขียวเข้มมาเสริมแก่แขกของพระอค์ พร้อมด้วยขนมปังที่แสนอร่อย
หลังจากแขกของพระองค์รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ซาร์ก็ทรงรับสั่งถาม “ พวกเราทราบในความกล้าหาญของพ่อค้าทางทะเลเช่นนั้น ซึ่งต้องผ่านดินแดนมามากมาย และพบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์นับไม่ถ้วน ข้าต้องการรู้จากท่านในบางอย่าง , เจ้าจงบอกข้าด้วยความสัตย์และไม่หลบเลี่ยงในสิ่งที่ข้าถาม”
“แน่นอนพะยะค่ะ ซาร์ผู้ย่ิงใหญ๋” พ่อค้าตอบ
“เอาหล่ะ , เจ้าช่วยบอกข้าที่สิว่าในอาณาจักรใดที่มีเจ้าหญิงหรือแม้แต่สาวใช้ที่หมดจดงดงาม และนางเหมาะสมกับข้า ซาร์อาร์ชิเดียบ้าง ,หญิงรูปงามที่เหมาะที่จะเป็นซาร์ดิน่าแห่งอาณาจักรนี้ ?”
พ่อค้ารู้สึกประหลาดใจ และก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ลูกเรือคนหนึ่งที่แก่ที่สุดจะพูดออกมา
“อันที่จริง ข้าเคยได้ยินว่ามีหญิงงามอยู่คนหนึ่ง อาศัยอยู่บนเกาะชื่อบุซาน (Buzan island) มันเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และมีเจ้าหญิงของพระราชาอยู่คนหนึ่งเธอมีนามว่าเฮเลน่า (Helena) เจ้าหญิงทรงพระสิริโฉมไม่เป็นรองใคร ข้าสาบานได้ เธอเป็นหญิงที่น่าปรารถนามีชายคนหนึ่งพยายามที่จะคว้าเธอมานานถึง 3 ปีแต่ก็ไม่สำเร็จ”
“เกาะนั้นอยู่ห่างไกลแค่ไหน หรือว่ามีถนนหนทางใดจะไปถึงมัน?”
“เกาะนั้นอยู่ไม่ใกล้ พะยะค่ะ” พ่อค้าแก่ตอบ “ถ้าต้องการเดินทางไปทางทะเลแล้วอาจจะต้องใช้เวลานานสิบปี ส่วนถนนนั้นพวกเราไม่รู้ว่ามันมีหรือไม่ นอกจากนั้น ถึงเราจะไปถึงอาณาจักรนั้นได้ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าหญิงเฮเลน่าจะแต่งงานด้วย”
พระเจ้าซาร์ทรงรู้สึกไม่พอพระทัย “เจ้าพูดมาได้อย่างไร ถ้าต้องเดินทางไปที่เกาะนั้นสิบปี และต้องใช้เวลาที่เท่ากันเดินทางกลับอีกสิบปี รวมแล้วยี่สิบปี เวลาขนาดนั้นต่อให้เจ้าหญิงเลอโฉมก็ต้องกลายเป็นยายแก่ หญิงงามก็เหมือนเจ้านกนางแอ่น นกผู้ส่งข่าว พวกมันอยู่ได้ไม่นาน”
ซาร์ทรงใช้เวลาคิดอีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินพระทัย “เอาหล่ะเราขอบคุณพวกท่านมาก แขกทั้งหลายที่เดินทางมาแสนไกล ข้าให้รางวัลพวกท่านโดยให้ทำการค้าในเมืองนี้ได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ส่วนเรื่องเจ้าหญิงรูปงามคนนั้นข้าจะเก็บเอาไปคิดก่อนว่าจะทำอย่างไร”
จากนั้นเหล่าพ่อค้าก็เดินทางออกจากพระราชวังไป
ซาร์อาร์เดียวิช ยังคงนั้งคิดทบทวนอยู่ แต่ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ “ข้าควรจะเข้าไปขี่ม้าในป่า ข้าจะได้ลืมเรื่องทุกข์นี้เสีย ถ้าเราออกไปล่าสัตว์ มันอาจจะช่วยให้เราได้รับความคิดดีดี”
จากนั้นคนเลี้ยงเหยี่ยวก็เข้ามา พร้อมกับเหยี่ยวและอินทรีที่เกาะอยู่ที่แขนของเขา พระเจ้าซาร์ทรงออกล่าสัตว์ในป่า โดยซาร์และบริวารต่างก็หยุดรอให้นกเหยี่ยวบอกตำแหน่งของหงษ์หรือกระเรียน
ระหว่างนั้นก็ทรงม้าไปเรื่อยๆ ทรงบอกกับบริพารว่า นิทานปรับปรานั้นแสนจะง่ายที่จะเข้าใจแต่ชีวิตจริงนั้นไม่เหมือนกัน แล้วพวกเขาก็มาถึงยังเนินแห่งหนึ่ง ที่มองเห็นหมู่บ้าน และไร่นาที่รวงข้าวที่สุกแล้วพร้อมสำหรับเก็บเกี่ยวผลิเมล็ดที่เหลืองทอง ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ พระราชาหยุดมองด้วยความตราตรีง
“ฉันคิดว่า , เจ้าของที่ดินเหล่านี้จะต้องเป็นแรงงานที่ดีมากแน่ๆ หญิงและชายที่ซื่อสัตย์และมีความสุขกับการไถหว่าน ถ้าที่ดินที่เราเป็นเจ้าของสามารถทำการเพาะปลูกได้ดีเทียบเท่ากับที่นี้ ประชาชนของเราคงจะมีความสุขและไม่รู้จักกับความหิวโหยอีกต่อไป และคงไม่ต้องออกไปทำงานไกลโพ้นทะเลเพื่อหาทองคำและเงินกลับมา”
ซาร์อาร์เดียวิชได้สั่งให้ทหารไปสืบดูว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินเหล่านี้ , เวลาผ่านไป ทหารก็นำตัวเจ้าของที่ดินมาพบกับซาร์ พวกเขามีด้วกันเจ็ดคน พวกเขามีหน้าตาที่หล่อเหลากันทั้งนั้นและยังมีผมสีทอง พวกเขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแบบฉบับของชาวไร่ชาวนา ที่มีขนมปังจากแป้งไรท์ผสมหัวหอม และน้ำสะอาดจากลำธารธรรมชาติ เสื้อของชาวนาทั้งเจ็ดมีสีแด ที่คอพวกเขาสวมสร้อยทองคำกันทุกคน นอกจากนั้นหน้าตาของทั้งเจ็ดคนแยกแทบไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ซาร์ถามพวกเขาว่าพวกเขาเป็นเจ้าของที่นาเหล่านี้หรือ แล้วใครเป็นคนปลูกข้าวสาลีสีทองเหล่านี้
ชาวนาทั้งเจ็ดคนตอบว่า พวกเขาเป็นเจ้าของที่นาและเป็นคนเพาะปลูกข้าวพวกนี้ขึ้น
ซาร์ “แล้วพวกเจ้าเป็นคนประเภทไหนกัน?”
“ีพวกเราเป็นชาวนาภายใต้ซาร์อาร์ชีเดีย พวกเราเป็นพี่น้องกัน เกิดจากพ่อและแม่เดียว ทุกคนต่างก็มีชื่อว่าซิเมียน (Simeon) ซึ่งท่านควรเข้าใจว่าเราคือ ซีเมียนทั้งเจ็ด”
“ทำไมพวกเจ้าถึงสามารถเพาะปลูกได้ดีเช่นนี้?”
ซีเมียนคนหนึ่งตอบคำถามซาร์ว่า “พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นชาวนา โดยไม่ได้มีความรู้อะไร เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นชาวนา เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน มีชื่อเดียวกัน ซีเมียน, พ่อของเราสอนให้เคารพพระเจ้า ชื่อสัตย์ต่อพระองค์ และยังต้องจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังต้องทำงานหนักโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นอกจากนั้นพ่อยังสอนให้พวกเราค้าขาย พ่อบอกว่าการค้าเป็นภาระยากลำบาก แต่มันก็สร้างผลกำไร พ่อบอกว่าให้ทำการค้าในวันที่มีเมฆฝน แต่ห้ามทิ้งไร่นาอย่างเด็ดขาด ต้องเอาใจใส่หมั่นไถพรวน แล้วจะมีความสุข”
ซีเมียนเสรีมอีกว่า “พ่อยังบอกด้วยว่า , ถ้าพวกเราไม่ทิ้งแผ่นดนแม่ของพวกเรา แล้วหมั่นไถพรวนดินตลอดฤดูกาล แล้ว เธอ , แผ่นดินแม่ของพวกเรา , จะตอบแทนพวกเราด้วยเมตตา ให้ขนมปังที่อร่อย และให้ดินแดนที่สวยงามสำหรับพักผ่อนยามเมื่อเราแก่และเหนื่อยจากชีวิตนี้แล้ว”
พระเจ้าซาร์ทรงประทับใจในคำตอบที่แสนเรียบง่ายจากชาวนา และทรงตรัสว่า “ โปรดฟังคำถามของฉัน ชาวนาของข้า เจ้าผู้ไถที่นา เจ้าผู้พรวนดินให้ต้นไม้ เจ้าผู้รวมรวบทองคำ ช่วยบอกข้าหน่อย ว่าพ่อขอพวกเจ้าสอนการทำการค้าพวกเจ้าว่าอย่างไร แล้วพวกเจ้ารู้อะไรบ้าง”
ซีเมียนคนหนึ่งตอบว่า “ความสามารถของข้านั้นไม่ได้ใช้ความรู้อะไรเลย เพียงแค่ข้าต้องมีวัสดูและแรงงานสักหน่อย ข้าก็สามารถมารถสร้างเสาหินสีขาวที่สูงไปยังก้อนเมฆ เกือบถีงท้องฟ้า”
“ดีจริง” ซาร์อุทาน “แล้วเจ้าหล่ะ ซีเมียนคนที่สอง เจ้ามีความสามารถอะไร?”
ซีเมียนคนที่สองตอบทันใดว่า “ความสามรถของข้าก็น้อยนิดและแสนธรรมดา ถ้าพี่น้องข้าได้สร้างเสาหินสีขาวขึ้นมากแล้ว ข้าก็จะปีนมันขึ้นไปยังท้องฟ้า และข้าก็จะเห็นอาณาจักรทั้งหมดซึ่งอยู่ใต้ดวงตะวัน นอกนั้นก็เห็นเส้นทางทั้งหมดที่จะไปยังต่างเมือง”
แล้วเจ้าหล่ะ ซีเมียนคนที่สาม ซาร์หันไปมองซีเมียนคนถัดไป
“ของค้าก็แสนธรรมดาเช่นกัน ความสามารถของข้านั้นต้องอาศัยเรือ แล้วก็เรียนรู้ความรู้จากการคบหาชาวต่างชาติ ใช้ความรู้ของพวกเขาสอนเรา ถ้ามีใครสั่งมา ข้าก็อาจจะสร้างเรือสักลำสองลำ เรือที่ข้าสร้างนั้นมันดีมากเพราะพวกเราเป็นชาวนาที่ทำงานหนัก ถ้าเรือของชาวต่างชาติสร้างใช้เวลาแล่นนานหนึ่งปี ในระยะทางที่เท่ากันเรือของข้าจะแล่นแค่ชั่วโมงเดียว ที่ไหนที่เรือของพวกเขาแล่นสิบปี ข้าจะไปถึงในเวลาสัปดาห์เดียว”
“ดี ดี ” พระเจ้าซาร์ทรงหัวเราะชอบใจ แล้วก้ถามซีเมียนคนที่สี “เจ้ามีความสามารถอย่างไรบ้าง”
ซีเมียนคนที่สีตอบ “ ความสามารถของข้านั้นไม่ต้องอาศัยความรู้อะไรเช่นกัน ข้าเพียงแค่ต้องแล่นเรือ ถ้าเจอเรือศัตรู ข้าก็เพียงแค่ต้องยึดเรือของพวกมันมาด้วยด้ามจอบนี้แหละ แล้วก็ผลักพวกมันให้ตกลงไปในน้ำลึก พวกมันจะได้เงียบกันชั่วนิรันดร์ แม้ว่าพายุหรือศัตรูมทากเท่าไหร่ ข้าก็จะฝ่าฟันไปจนได้”
“ช่างกล้าหาญ” ซาร์รับสั่งตอบ “แล้วเจ้าหล่ะซีเมียน” พระองค์หันไปหันซีเมียนเป็นคนที่ห้า
“การสามารถข้านั้น ท่านซาร์ อาร์ชิเดีย แอกเจียวิช , เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน ข้าเป็นช่างเหล็ก ถ้ามีใครสั่งมา ข้าสามารถสร้างปืนที่แม้แต่เหยี่ยวบนท้องฟ้าหรือหมีในป่าใหญ่ ไม่มีสิ่งใดที่จะปลอดภัยจะปืนของข้า”
“อืม ใช่ มันไม่เลวเลย” พระเจ้าซาร์ตอบ และหันไปหาซีเมียนคนที่หก
“ความสามารถของข้านั้นหาใช่ความสามารถไม่” ซีเมียนคนที่หกตอบ “ถ้าพี่น้องข้ายิงนกอินทรีหรือหมีป้าได้นั้น ไม่ว่าพวกมันจะตกอยู่ตรงไหน ข้าก็จะสามารถไปจับพวกมันได้ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดิน ข้าสามารถไปได้เร็วกว่าหมานักล่า แต่ว่าถ้ามันตกลงไปในทะเล ข้าก็สามารถดำน้ำลงไปลึกจนถึงก้นมหาสมุทร หรือถ้ามันตกลงไปในป่าลึกและมืด ข้าสามารถหาทุกส่ิงได้พบก่อนเที่ยงคืน หรือแม้แต่มันหายไปในกลีบเมฆ ข้าก็เอามันมาได้”
ซาร์รู้สึกพีงพอใจเป็นอย่างมากและอยากจะทำข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนธุรกิจกับพวกซีเมียนทั้งหกโดยไว้ พวกนี้มีวิธีการทำงานที่ง่าย ซาร์ทรงเห็น โดยไม่ต้องใช้ความรู้อะไรเลย พระเจ้าซาร์ทรงพอใจในคำตอบจากชาวนาทุกคน
“ขอบคุณ ชาวนาของข้า ผู้ซึ่งไถผืนนากว้างใหญ่ และผู้ซื่อสัตย์กับข้า พ่อของพวกเจ้าช่างสั่งสอนมาถูกต้อง ที่ว่า การทำธุรกินนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่สร้างผลกำไร , ข้าอยากจะเชิญพวกเจ้าไปยังเมืองหลวงเพื่อทำการทดสอบ ประชาชนเช่นพวกเจ้าเป็นที่ตอนรับเสมอ และเมื่อฤดูกาลเพาะปลูกมาถึง หรือเวลาที่ข้าวสุกแล้ว เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลาต้องนำไปยังตลาด ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าเดินทางกลับมาได้เสมอ”
ซีเมียนทั้งเจ็ดคนน้อมคารวะพระเจ้าซาร์ ลงไปต่ำมาก พร้อมกับกล่าว “ขอน้อมรับพระบัญชา”
พระเจ้าซาร์ทรงมองไปที่ซีเมียนคนเล็กอีกคนหนึ่ง แล้วก็ทรงนึกได้ว่ายังไม่ได้ทรงถามอะไรกับเขาเลย จึงทรงรับสั่งถามว่า “แล้วเจ้าหล่ะ ซีเมียนคนที่เจ็บ เจ้ามีความสามารถอะไรไหม”
“ข้าไม่มีอะไรเลย พระเจ้าซาร์อาร์เดียวิช ข้าได้เรียนรู้หลายอย่าง แต่ว่าไม่มีสิ่งใดเพียงอย่างเดียวที่จะเหมาะสมกับข้า ข้ารู้ว่าข้ารู้บางส่ิงดีมาก แต่ไม่แน่ใจว่าพระองค์จะโปรดหรือไม่”
“โปรดบอกความลับนั้นมาเุถอะ” ซาร์ตรัส
“ไม่พะยะคะ , โปรดอภัยให้หม่อมฉันคำสั่งของฝ่าพระบาทไม่สามารถทำให้พระองค์บอกความลับที่ติดตัวข้ามาได้ตั้งแต่ยังเล็ก มีเพียงสิ่งเดียวทีจะทำให้ข้าบอกความลับได้”
“บอกมาเถอะ ข้าสัญญาว่า ไม่ว่าเจ้าจะบอกอะไรมา ข้าก็จะไม่เคืองเจ้า”
ซีเมียนคนที่เจ็ดอมยิ้ม แล้วก็พูดออกมาว่า “การค้าของข้านั้นง่ายนิดเดียว ในดินแดนที่พระเจ้าซาร์ทรงไร้เมตตาเช่นนี้ ข้าแค่คอยลักขโมยแล้วก็รู้ทางหนีทีไล่ ที่ไหนไม่มีสมบัติ ที่ไหนไม่มีเงินทอง ข้าสามารถรู้ได้หมดและไม่มีที่ไหนหลบข้าพ้น”
พระเจ้าซาร์ได้ยินดังนั้น ก็ทรงพิโรธ “ข้าคงไม่อภัยให้คนเยี่ยงนี้ มันจะต้องได้ตายอย่าทุกข์ทรมาณ ข้าจะสั่งให้จับมันล่ามโซ่ และใส่ไว้ในห้องขังไม่ให้ขนมปังและน้ำ หรืออาหาร จนกว่ามันจะสำนึก”
“ช่างยิ่งใหญ่ และทรงเมตตา ซาร์อาร์ชีวิช โปรดระงับโทสะท่านไว้ก่อน แล้วฟังพวกข้า” ซีเมียนคนที่เจ็ดกล่าว
“ในรัสเซียแต่โบราณกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีหัวขโมยที่ไม่ถูกจับ ไม่ว่าเขาจะขโมยสิ่งใด และผู้ยุยงให้ลักขโมยก็ควรถูกลงโทษด้วย , ถ้าข้ารู้ว่าความรู้ของข้าจะถูกขโมยไป ข้าควรจะใช้มันไปเสียก่อนหน้านี้ ข้าควรจะเข้าไปขโมยท้องพระคลัง แล้วข้าจะได้สร้างปราสาที่มีกำแพงหินสีขาวมหึมาและกลายเป็นเศรษฐี แต่จริงๆแล้ว ข้าเป็นเพียงชาวนาความรู้น้อยและชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ข้ารู้ดีว่าจะทำการลักขโมยได้อย่างไร แต่ไม่เคยกระทำ แต่เพราะท่านต้องการรู้ว่าข้ามีความสามารถอะไร ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า และถ้าความรู้นั้นทำให้ข้าต้องต้องโทษถึงประหาร มันจะมีประโยชน์อะไรกับคำสัตย์จะมหากษัตริย์”
ซาร์ทรงน่ิไปสักครู่ “ข้าจะไม่ประหารคนนั้นก็ได้ สำหรับที่มันอุตส่าห์บอกความลับให้ข้ารู้ แต่จากนี้ไปในทุกวัน ทุกชั่วโมง พวกมันจะไม่ได้เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์หรือแม้แสงสีเงินจากดวงจันทร์ คนเยี่ยงนี้ไม่ควรที่จะได้เดินอย่างเสรีในท้องทุ่งกว้าง แต่ , แขกของข้า , พวกเจ้าต้องอยู่แต่ภายในราชวังนี้ ที่ซึ่งแสงอาทิตย์ไม่อาจจะสาดเข้ามาก .. ทหาร ! จับเจ้าทาสคนนี้ใส่ตรวนที่มือและเท้ามัน และเอาไปไว้ในห้องขังพิเศษ ส่วนเจ้าคนที่เหลืออีกหกคน พวกเจ้าจะได้รับรางวัลและเมตตาจากเรา และพวกเจ้าจะต้องรับใช้เราตามแต่เราจะสั่งจนสุดความสามารถของพวกเจ้า
ซีเมียนทั้งเจ็ดเดินตามพระราชาไป แล้วซีเมียนคนน้องสุดก็ถูกนำตัวไปด้วยทหารรับใช้ เอาไปไว้ยังคุกมืด
ซาร์ทรงสั่งให้ช่างทาสีไปยังซีเมียนคนแรก พร้อมด้วยช่างอิฐและช่างโลหะ พร้อมด้วยแรงงานอีกจำนวนหนึ่ง พระองค์สั่งให้หาอิฐและหิน เหล็ก ดินเหนียว และปูน ไปให้กับซีเมียนคนแรกด้วย อย่างเร่งด่วน เพื่อให้เขาสร้างเสาหินขึ้นมา , ซีเมียนคนแรกสามารถสร้างเสาหินได้ในเวลาอันสั้น สูงจนราวกับว่าเห็นโลกได้ทั้งใบ ดาวดวงเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าเสานี้ด้วยซ้ำไป มองลงมเห็นมนุษย์เหมือนแมลงตัวเล็กๆ
ซีเมียนคนที่สอง ได้ปีนขึ้นไปบนเสาหินนี้ และมอไปรอบๆ และยังใช้หูฟังเสียงจากทุกด้าน จากนั้นก็ลงมาจากเสาหิน , พระเจ้าซาร์ทรงปรารถนาที่จะรับรู้กทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใต้ดวงตะวัน จึงให้ซีเมียนเขียนรายงานมาให้ ซีเมียนคนที่สองบอกว่าทั่วโลกนั้นมีแต่สิ่สวยงาม เขาทูลบอกเรื่องที่กษัตริย์ในอาณาจักรหนึ่งกำลังรบกัน สงครามเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและสันติภาพสร้างได้อย่างไร นอกจากนั้นยังมีข้อมูลลับอยู่ในรายงานที่ทำให้ซาร์อาร์ชิวิชทรงยิ้มได้อีกด้วย
ซีเมียนคนที่สาม ถูกสั่งให้สร้างเรือขึ้นมาที่ชายฝั่ง ไม่นานเรือก็ถูกสร้าเสร็จ มันเป็นเรือที่สวยงาม มีใบเรือที่เหมอนปีกของนกเหยียว ปืนใหญ๋ขนาดมหิมา
ซีเมียนคนที่สี่ เป็นกัปตันนำเรือมุ่งหน้าสู่ท้องทะเล มือซ้ายของเขาคอยชี้ทิศทางที่เรือจะต้องมุ่งหน้าไป ส่วนมือขวาคอยแนะนำสิ่งต่างๆให้แก่ซาร์
ในขณะที่พระเจ้าซาร์กำลังพระสำราญกับเรือที่เหมือนหินอ่อนลำนี้ ซีเมียนคนที่ห้าก็ได้สร้างโรงเหล็กขึ้นในสวนหลังพระราชวัง มีเสียงตีเหล็กและเสียงปืนดังออกมาจากการทำงาน ซาร์ทรงได้รับมอบพระแสงปืนที่ดีที่สุดจากทั้งหมดที่มีอยู่ ปืนซึ่งยิ่งนกได้ทุกตัวบนท้องฟ้า มันมีกระสุนทำจากเงิน
ซีเมียนคนที่ห้าได้ทดลองยิ่งนกอินทรีที่อยู่บนทอ้งฟ้า เขาเล็ง และก็ลั่นไก ทันใดนั้นเจ้านกอินทรีก็ร่วงลงมา พระเจ้าซาร์ไม่ต้องการให้นกตกลงสู่พื้นดิน ก็ออกคำสั่งให้ซีเมียนคนที่หกวิ่งไปเก็บนกมา ซีเมียนคนที่หกวิ่งไปเร็วดังสายฟ้าแล๊บ เขาเอาถาดไปใบหนึ่ง เพื่อรองร่างของอินทรีตัวนั้น แล้วก็นำกลับมาถวายพระเจ้าซาร์
"ขอบคุณพวกเจ้ามาก ผู้ติดตามที่กล้าหาญ ชาวนาผู้ซื้อสัตว์ ผู้หมั่นไถหิน” พระเจ้าซาร์รับสั่ง “ข้าเห็นแล้วว่าพวกเจ้ามีความสามารถกันจริงๆ ข้าจะตบรางวัลให้พวกเจ้า แต่โปรดไปพักผ่อนกันก่อนเสียเถอะ แล้วค่อยมาทานอาหารมื้อค่ำกัน”
ซีเมียนทั้งหก ถวายคำนับ ก่อนที่จะเดินออกไป พวกเข้าเข้าไปนั่งในห้อง กินไวน์แก้วใหญ่ สั่งให้พ่อครัวทำซุปรัสเซีย สัทชิ (stchi) มาให้
แต่ไม่นานก็มีสาวใช้เดินมาตาม
“เจ้าพวกโง่ ไร้การศึกษา นี้มันเวลาที่สมครวหรือไม่ที่พวกเจ้าจะมัวกินอาหาร ในเวลาที่พระราชาต้องการ , รีบไปรับใช้พระองค์เร็ว”
ซีเมียนทั้งหกรีบออกจากห้องวิ่งตรงไปหาพระเจ้าซาร์ในปราสาท พรางคิด “จะเกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ยะ"
ในปราสาทมีทหารองค์รักษ์ยืนถืออาวุธพร้อมมือ และเหล่าเสนาบดีก็มาปรากฏตัวกันครบ พระเจ้าซาร์ประทับนั่งที่บังลังค์
"ฟังข้า” พระองค์รับสั่ง เมื่อพวกชาวนาเข้ามาถึง “พวกเจ้า ทาสผู้กล้าหาญ พี่น้องที่แสนฉลาดซีเมียน ข้าชอบความสามารถของเจ้า และข้าคิดว่า , หลังจากข้าได้รับคำแนะนำจากเหล่าเสนาบดีของข้าแล้ว , ซีเมียนคนที่สองซึ่งปีนเสาสูงขึ้นไป ได้เขียนรายงานว่า พบเกาะแห่งหนึ่งซื่อบูซาน ที่เกาะแห่งนั้นมีพระราชาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีพระธิดาที่สวยนามว่า เฮเลน่า”
ซีเมียนคนที่สองปีนขึ้นไปบนเสาหินอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับมารายงานเพื่อยืนยันข้อมูล
“ข้าแต่พระเจ้าซาร์ ที่อาณาจักรแห่งนั้นมีกษัตริย์อยู่พระองค์หนึ่ง เขามักจะติดปากที่จะตรัสว่า , ข้าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มีพระธิดาที่งดงาม เฮเลน่า ไม่มีใครในจักรวาลนี้สวยกว่านางได้อีก ฉลาดกว่านางได้อีก แต่ว่านางไม่อาจจะหาสวามีที่คู่ควรจากพิภพใต้พระอาทิตย์นี้ได้อีกแล้ว ไม่มีซาร์ ไม่มีราชา องค์ใดที่ข้าจะไว้วางใจมอบลูกสาวข้าให้ได้ เจ้าหญิงเฮเลน่า , ใครที่พยายามจะนำนางไป เท่ากับประกาศสงครามกับข้า และอาณาจักรขอมันจะต้องพัง มันจะถูกประหาร”
“พระราชาองค์นั้นมีทหารที่แข็งแกร่งเพียงใด” ซาร์อาร์ชิเดีย ถาม
“จากสายตากระหม่อม อาณาจักรนั้นต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณสิบปี และหากเจอพายุอาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้น อาณาจักรนั้นมีกองทัพที่ไม่เล็กเลย ข้ามองเห็นทหารหลายหมื่นนาย ที่สวมเสื้อเกราะ รวมอยู่ในสนามของอาณาจักรนั้น แม้แต่ข้าบริพารก็ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตร หน้าปราสาทมีอารักขาตลอดเวลา”
ซาร์อาร์ชีเดียใช้เวลาครู่คิดยาวนานพอสมควร ก่อนที่จะรับสั่งว่า
“ทหารของข้าและท่านเสนาบดี ข้ามีเพียงปรารถนาเดียว ข้าต้องการเจ้าหญิงเฮเลน่ามาเป็นภรรยา ช่วยบอกข้าหน่อยเถอะ ทำอย่างไรข้าถึงจะได้นางมา”
เหล่าเสนาบดีต่างก็เงียบกริบ
ซีเมียนคนที่สามก็พูดออกมาว่า “อย่ากังวลเลยพระองค์ การจะเดินทางไปยังอาณาจักรแห่งนั้นได้อย่างไรไม่ใช่ปัญหาเลย เพียงเรามีเรือที่เราสร้างขึ้นมา การใช้ความสามารถของพวกข้าอีกนิดหน่อย เรือลำนั้นก็จะใช้เวลาเดินทางจากสิบปีเหลือแค่เพียงอาทิตย์เดียว เพียงแต่ข้าต้องการคำแนะนำว่า พวกเราควรจะไปอย่า่งมิตรหรือว่าเป็นศัตรู โปรดถามเสนาบดีของท่าน”
“ท่านเสนาบดี และนักรบของข้า , พวกท่านคิดเห็นกันอย่างไร ใครอยากจะไปรบเพื่อเจ้าหญิงพระองค์นั้นกลับมา หรือว่าใครอาสาจะไปที่นั้นอย่างสันติ ข้าจะมอบทองคำและเงินทองให้กับผู้นั้นเป็นรางวัล พร้อมด้วยยศที่สูงที่สุดด้วย”
แต่นักรบและเหล่าเสนาบดียังคงเงียบกริบ ทำให้พระเจ้าซาร์ทรงกริ้ว
“ทำไมถึงเอาแต่เงียบกัน ทำไมถึงคิดกันหนักขนาดนั้น พวกเจ้ามีแต่หัวโตกับเครายาว ในนั้นน่าจะมีปัญญาใดใดบ้าง ทำไมไม่แสดงมันออกมา , การไปอาณาจักรแห่งนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องสูญเสียทองคำและทหาร พวกเจ้าลืมซีเมียนคนที่เจ็ดไปแล้วหรือ ความสามารถของเขาน่าจะช่วยให้เรานำตัวเจ้าหญิงเฮเลน่าออกมาอย่างง่ายๆ จากนั้นก็ปล่อยให้ราชาโง่นั้น มันยกทัพมาบุกเรา แต่เขาจะสามารถเดินทางนานสิบปีได้หรือไม่ เวลาสิบปี ข้าเคยได้ยินว่ามีคนๆหนึ่งใช้สอนม้าจนพูดได้เชียวแหล่ะ"
ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปนำตัวซีเมียนคนที่เจ็ดออกมา
"ฟังข้า ซีเมียนที่เจ็ด ข้าจะมอบสมบัติและเกียรติสูงสุดแก่เจ้า จงเลือกว่าอยากจะอยู่ในคุกต่อไป หรือว่าจะทำประโยชน์ให้แก่ข้าแล้วข้าจะให้อิสระเจ้า ได้แบ่งปันความมั่งคั่งไปจากข้า ถ้าเจ้าสามารถลักพาตัวเจ้าหญิงเฮเลน่ามาจากบิดานาง จากเกาะบุซาน”
“ทำไมจะไม่ทำหล่ะ กระหม่อม” ซีเมียนคนที่เจ็ดพูดด้วยเสียงยินดี “มันคงไม่ยากกระไร นางคนนั้นไม่ใช่มุกมีค่า ข้าคิดว่านางคงไม่ได้ถูกผูกล๊อคไว้ เพียงแค่ท่านสั่งให้เรือที่พี่ข้าสร้าง พร้อมด้วยผ้ากำมะหยี่ พรหมเปอร์เซีย และไข่มุก อัญมณีที่สวดงาม และให้พี่ข้าอีกสี่คนเดินทางไปพร้อมกับเรือ ท่านสามารถเอาที่เหลืออีกสองคนไว้เป็นตัวประกัน”
ซาร์ทรงสั่งให้พี่น้องซีเมียนออกเดินทางให้เร็วที่สุด ไม่นานเท่าไหร่เรือก็พร้อมที่จะเดินทางสู่ทะเลสีฟ้าคราม
ไม่กี่วันเรือก็มาถึงอาณาจักรแห่งหนึ่ง ทหารที่เฝ้าประภาคารเป่าแตรเพื่อเตือนทหารที่เหลือ
“หยุดก่อน จงตอบมา พวกเจ้าเป็นใครกันและมายังที่นี่ทำไม”
ซีเมียนคนที่เจ็ด ตอบ “พวกเราเป็นผู้รักสันติ มิใช่ศัตรู เราเป็นพ่อค้าเดินทางไปยังดินแดนทุกแห่งที่ยินดีต้อนรับแขก พวกเราต้องการค้าขาย ซื้อ หรือแลกเปลี่ยน พวกเรามีของมากำนัลแก่กษัตริย์โกโรเลฟน่าของท่านด้วย”
พี่น้องซีเมียนทั้งห้าคนได้รับอนุญาตให้เอาเรือเทียบท่าใกล้กับพระราชวัง พวกเขานำเอาหีบสมบัติไปถวายแก่พระราชา
เจ้าหญิงเฮเลน่า โกโรเลฟน่า ที่สวยงามประทับอยู่ในอุทยาน ดวงตานางเหมือนดวดาว แววตาเป็นประกายเหมือนดาบชั้นดี แค่นางมองที่ใครก็เหมือนกับคนนั้นได้รับของขวัญมีค่า เธอเดินเหมือนหงษ์ที่กำลังอาบน้ำ
เฮเลน่า มองเห็นชายแปลกหน้า จีงให้นางกำนัลไปดูว่าใครมายังปราสาทของพระองค์
นางกำนัลรีบวิ่งไปดู แล้วกับมาทูลว่า “ พวกเรามีแขกเป็นพ่อค้า เขามาอย่างสันติ อาณาจักรของพวกเขาเป็นขอซาร์อาร์ชิเดีย แอกเจียวิช ซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และนำของมาถวายพระองค์”
เฮเลน่ารับสั่งอนุญาตให้พ่อค้าต่างชาติเข้าเฝ้าได้ พวกเขาเขาสมบัติมาถวายโดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่มุกและอัญมณีหลายชนิดเป็นส่ิงที่ไม่เคยมีในอาณาจักรบุซานมาก่อน นางกำนัลต่างตกตะลึงในความสวยงาม แม้แต่เฮเลน่าก็แสดงความพึงพอใจ
เซเมียน เห็นดังนี้นก็พูดออกมาว่า
“พวกเราเห็นแล้วว่าของเหล่านี้ช่างส่วยงาม แต่ของกำนัลมากมายเหล่านี้ท่านคนเดียวคงใช้ไม่มีวันหมด ข้าจะแบ่งให้นางกำนัลและข้าทาสของข้าสำหรับเสริมความงามของพวกเขา ส่วนหินมีค่าคงต้องเอาไปให้เด็กชายในห้องครัวเอาไว้เล่น แต่ในเรือของพวกข้ายังมีแพร และกำมะหยีที่หายาก อีกทั้งอัญมณีอีกมาก ที่ไม่เคยมีใครพบเห็น พวกเราจึงไม่กล้านำมันติดตัวออกจากเรือ เพราะจะทำให้คนที่เห็นมันที่ไม่เหมาะสมเกิดความโลภ พวกเราอยากให้เจ้าหญิงเสด็จไปที่เรือ เพื่อเลือกสมบัติเหล่านั้นตามแต่ท่านจะพอใจ
แต่เจ้าหญิและเหล่านางกำนัลยังอยู่ในสำรวม พวกเขาไปเข้าเฝ้าพระราชาก่อนตัดสินใจ
"พระบิดาและพระราชา พวกเรามีแขกเป็นพ่อค้าชาวต่างชาติ พวกเขาเอาสินค้าดีๆ ที่ไม่เคยพบเห็นในบุซานมาให้ ข้าขออนุญาตในการเดินทางไปที่เรือของพวกเขาเพื่อเยี่ยมชมสมบัติที่พวกเขานำติดตัวมาได้หรือไม่”
พระราชไม่อาจจะปฏิเสธคำขอของลูกสาว แต่ได้สั่งให้กองทัพเรือเตรียมปืนใหญ่ให้พร้อม และให้ทหารหลายพันนายอารักขาพระธิดา
เมื่อเฮเลน่ามาถึงเรือของพวกซีเมียน พวกซีเมียนนำเจ้าหญิงชมเรือซึ่งพระองค์ประทับใจในความงามมาก , ไม่นานพวกซีเมียนก็เร่งออกเรืออย่างรวดเร็วหายไปในมหาสมุทร แม้แต่เรือของทหารของโกโรเลฟน่า ก็ไม่อาจจะไล่ทัน
พระราชาโกโรเลฟน่าทรงเศร้าพระทัยมากเมื่อทราบข่าว
เฮเลน่าที่อยู่บนเรือพร้อมนางกำนัล ซึ่งกำลังหลงมองสมบัติอยู่ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงเวลาจะต้องกลับวังแล้ว แต่ว่าเมื่อทรงเดินออกมาด้านนอกลำเรือ ก็พบว่าไม่เห็นปราสาทและกองทัพของพระองค์แล้ว ทรงร้องด้วยความตกใจ ทรงแปลงกายเป็นหงษ์แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ว่าซีเมียนคนที่ห้า เห็นสถานะการณ์อยู่ ก็ใช้ปืนยิงที่นกสีขาวจนร่วมลงมา และซีเมียนคนที่หกก็เข้าไปรับร่างของเจ้านกหงษ์สีขาว แต่ทันใดนั้นเองเจ้าหงษ์ก็แปลงร่างกลายเป็ฯปลาสีเงิน สะบัดหนีไปจากมือของซีเมียน กระโดดลงไปในทะเล แต่ซีเมียนคนที่หกก็สามารถที่จะไล่จับเจ้าปลาไว้ได้ เจ้าปลาแปลกลายเป็นหนู แล้ววิ่งหนีไปรอบลำเรือ แต่ที่สุดแล้ว ซีเมียนก็จะหนูตัวนั้นไว้ได้ และมันก็กลายร่างกับเป็นเฮเลน่าผู้งดงามอีกครั้ง
เวบาผ่านไปกว่าอาทิตย์ พระเจ้าซาร์อาร์ชิเดีย นั่งอยู่ริมหน้าต่างในหอคอย เฝ้าแต่มองดูท้องทะเล ที่กว้างใหญ่ สีคราม พระองค์เฝ้ากระวนกระวายพระทัย ไม่อาจจะเสวยสิ่งใด อาหารราคาแพงก้ไร้รสชาติ เทศกาลใดๆ ก็ไม่อาจจะดึงดูดพระองค์ให้สนใจได้ ทรงพะวงถึงแต่่เจ้าหญิงผู้เลอโฉม เฮเลน่า
ทันใดนั้นก็ทรงเห็นจุดที่ขอบฟ้า นั่นนกนางนวลหรือ? อ้า ไม่สิ นั้นเป็นเหมือนปีกสีขาวแต่ไม่ใช่ปีกมันเป็นใบเรือ ? ไม่ นั้นไม่ใช่นางนวล แต่เป็นเรือของพี่น้องซีเมียน ที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วตราบเท่าที่กระแสลมยังพัดพาไป ปืนในอาณาจักรดังขึ้น พร้อมกับขบวนดุริยางค์เริ่มบรรเลงเพลง ไม่นานเรือก็ทิ้งสมอเรือ สะพานที่สร้างด้วยคริสตัลถูกเตรียมเอาไว้ และทันใดนั้นเจ้าหญิ โกโรเลฟน่า เฮเลน่า ก็ปรากฏต่อสายตาพระองค์ดังพระอาทิตย์ที่ไม่หยุดทอแสง ดวงดาวที่พร่างกระจ่างฟ้ายามราตรี
“เจ้้าผู้รับใช้ของข้า เจ้าเสนาบดี เจ้าทหารอารักขา ช่วยกันสั่นกระดิ่งและเตรียมตัวต้อนรับเจ้้าหญิงกันเร็ว ทำให้นางมีความสุข” ซาร์รับสั่ง
ไม่นานพิธีอภิเษกก็ถูกเตรียมขึ้น
เฮเลน่า ส่งจดหมายโดยให้พี่น้องเซเมียนนำไปส่งให้บืดาที่อาณาจักรบุซาน
“ท่านพ่อที่รัก กษัตริย์ผู้กล้าหาญและทรงบารมี บัดนี้ข้าได้เจอกับชายที่หัวใจข้าปรารถนาแล้ว ข้าทูลบอกให้เสด็จพ่ออวยพรให้พวกเรา สามีข้า ซาร์อาร์ชิเดีย แอกเจียวิช ได้ส่งฑูตสามคนมาเพื่อให้ท่านพ่อมางานแต่งงานของพวกเรา”
แต่ไม่นานเมื่อเรือของเซเมียนถึงนครบุซาน เหล่าทหารซึ่งเคยถูกลงโทษเพราะปล่อยให้เจ้าหญิงหายไปก็มารวมตัวกันเมื่อเห็นเรือของพ่อค้าต่างชาติโผล่มาอีก
ซีเมียนตะโกนบอกว่า ได้นำสานส์จากเจ้าหญิงเฮเลนามาให้ ซึ่งมันทำให้พระราชาทรงมีพระทัยดีขึ้น และเมื่อทราบว่าลูกสาวจะแต่งงานกับชายที่คู่ควร ก็ทรงอภัยให้กับทหารที่โดนลงโทษ
พระองค์ทรงต้อนหลับฑูตอย่างสมเกียรติ แต่ว่าไม่ปรารถนาที่จะเดินทางไปงานอภิเษกสมรก เพราะทรงพระชรามากแล้ว ทรงได้แต่อวยพรฝากฑูตทั้งเจ็ดไป
พระองค์ตรัสกับฑูตทั้งหลายว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ เหล่าชาวนาของข้า ผู้กล้าที่ไถพรวนที่ดิน จงเอาทองคำกลับไปมากเท่าที่เจ้าต้องการ จงเอาเงินหรือสิ่งใดก็ตามที่หัวใจเจ้าปรารถนาไป ทุกสิ่งทุกอย่างข้าขอมอบให้กับมือของผู้กล้า ถ้าพวกเจ้าโตเป็นหนุ่มจะต้องเป็นวีรบุรุษเหนือผู้ใด ถ้าพวกเจ้าเลือกจะเป็นผุ้ปกครอง พวกเจ้าจะได้เมืองคนละเมืองไป”
ซิเมียนคนแรกโค้งให้กับซาร์และบอกว่า
“ของคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง พะยะค่ะ พวกเราเป็นเพียงชาวนาธรรมดา ความเรียบง่ายเป็นวิถีชีวิตที่เราต้องการ พวกเราไม่ต้องการเป็นนักรบหรือผู้ปกครอง พวกเราไม่ได้ต้องการสมบัติ เรามีท้องทุ่งที่พ่อเรามอบให้ ซึ่งมันก็ให้ขนมปังแก้หิวและสร้างเงินทองที่จำเป็นแก่เราแล้ว ขอให้ปล่อยพวกเรากลับบ้าน พูดกับเราด้วยคำที่เหมาะสมก็เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ๋แล้ว และถ้ากรุณาก็โปรดคุ้มครองพวกเราจากความอยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ภาษี ถ้าพวกเราทำสิ่งใดผิด ก็โปรดให้อภัย ให้พวกเราได้ลงโทษกันเอง โปรดให้อภัยแก่น้องคนที่เจ็ดของเรา แน่นอนว่าความสามารถของเขาเป็นสิ่งที่ผิด แต่ว่าเขาไม่ใช่คนแรกและไม่ใช่คนสุดท้ายที่มีพรสวรรค์เช่นนั้น”
ซาร์ตอบ “ข้าให้เจ้าสมปรารถนา"
และไม่นานพี่น้องซีเมียนก็จากพระราชวังไปหลังพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นผ่านไปแล้ว