อเล็กซี อีวานโนวิช รึย์กอฟ (Алексей Иванович Рыков)
นายกรัฐมนตรีคนที่สองของโซเวียต ต่อจากเลนิน
เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1881 ในเขตซาราตอฟ (Saratov)
บิดาของเขาเป็นชาวนา ในหมู่บ้านชื่อว่ากุการ์ก้า (Kukarka) ชื่อว่า อิวาน (Ivan Illych Rykov) เขาเสียชีวิตในปี 1889 ด้วยโรคอุจจาระร่วงจากการติดเชื้อโคเลร่า (Cholera) ระหว่างที่ไปทำงานในเมืองไรคอฟ (Rykov) ใน Merv
หลังจากบิดาเสียชีวิตแล้ว รึย์กอฟ ต้องอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง ซึ่งไม่ค่อยจะในใจดุแลเขาเท่าไหร่
1892 ตอนมีอายุ 11 ปี เขาเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นในโรงเรียนในซาราตอฟ มันเป็นการเข้าเรียนในโรงเรียนครั้งแรกของเขา ซึ่งเขามีความสามารถในด้านการคำนวณ ฟิสิกส์ พออายุ 13 เขาก็เรียนต่อในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาหาเงินส่งตัวเองโดยการทำงานเป็นครูสอนพิเศษ
1898 เข้าเป็นสมาชิกพรรค RSDLP โดยสนับกลุ่มที่เป็นบอลเชวิคของเลนิน ภายในพรรค เขาทำงานให้กับบอลเชวิค เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในมอสโคว์ และเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก มีบทบาทในการผู้สนับสนุนการปฏิวัติปี 1905 อย่างแข็งขัน
1900 เรียนจบมัธยมปลาย และเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยคาซาน (Kazan university) โดยเลือกเรียนทางด้านกฏหมาย แต่ว่าต้องหยุดเรียนไปก่อนที่จะเรียนจบ
1903 เมื่อพรรค RSDLP แตกออกเป็นสองพรรค1905 การประชุมพรรคบอลเชวิคในลอนดอน ครั้งที่ 3 เขาได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรค และยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อในปี 1906 ที่โคเปนเฮเกน โดยเป็นกรรมการที่ไม่มีสิทธิออกเสียง
1909 การประชุมเล็กๆ ในเดือนมิถุนายน ในปารีส รึย์กอฟ ออกเสียงโหวตให้ขับไล่ อเล็กซานเดอร์ บ็อกดานอฟ (Alexander Bogdanov) ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มย่อยในพรรคบอลเชวิค ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรค
1910-1911 เขาเดินทางไปลี้ภัยอยู่ในปารีส
1912 เขาถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย ก่อนหน้านั้นเขาสนับสนุนเลนินให้แยกบอลเชวิคออกมาเป็นพรรคอิสระอย่างเต็มที่ แต่ถุกเนรเทศเสียก่อน
1917 เขาเดินทางกลับจากไซบีเรีย หลังจากการปฏิวัติ กุมภาพันธ์ เสร็จสิ้นลงแล้ว และได้เป็นของเปโตรกราสโซเวียต (Petrograd Soviet),และมอสโคว์โซเวียต (Moscow Soviet) ซึ่งเหมือนเป็นรัฐสภาประจำเมือง เพิ่งตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติ
กรกฏาคม-สิงหาคม การประชุมพรรคบอลเชวิค ครั้งที่ 6 เขาได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรคอีกครั้ง และระหว่างการปฏิวัติเดือนตุลาคม เขาก็เป็นสมาชิกของคระกรรมการกลาโหมเพื่อการปฏิวัติประจำมอสโคว์ (Military Revolutionary Committer) และเมื่อบอลเชวิคยึดอำนาจได้เรียบร้อย วันที่ 29 ตุลาคม เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีมหาไทย
และยังคงได้เป็นกรรมการใน สหภาพแรงงานกิจการรถไฟ (Vikzhel) ซึ่งตอนนั้นเขาและสหภาพแรงงานร่วมกันเรียกร้องให้มีการถอดเลนินและทร็อตสถีออกจากรัฐบาล และต้องการให้พรรคบอลเชวิคแบ่งอำนาจให้กับพรรคสังคมนิยมอื่นๆ ด้วย ซึ่งสหภาพแรงงานได้รับการสนับสนุนจาก Grigori Zinoviev, Lev Kamenev สมาชิกของพรรคบอลเชวิค พวกเขาเริ่มเปิดเจรจากับสหภาพแรงงานการรถไฟ เพราะเกรงว่าหากแรงงานนัดหยุดงานจริงๆ จะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้กับกลุ่มที่ยังสนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาลเดิม
แต่ว่าไม่นานเมื่อกำลังที่สนับสนุนเลนินและทร็อตสกี สามารถเอาชนะพวกต่อต้านพรรคบอลเชวิคที่อยู่รอบเซนต์ปีเตอร์เบิร์กลงได้แล้ว ทำให้เลนินมีอิทธิพลสูง และสั่งให้คณะกรรมการกลางของพรรคล้มเลิกการเจรจากับสหภาพแรงงานการรถไฟ
นั้นทำให้ รึย์คอฟ,ซิโนเวียฟ, คาเมเนฟ ตัดสินใจลาออกจากการการเป็นคณะกรรมการกลางและตำแหน่งในรัฐบาล ในวันที่ 4 พฤศจิกายน (ปฏิทินเก่า)
1918 3 เมษายน รึย์กอฟ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (Supreme Council of National Economy)
1919 5 กรกกาคม ได้เป็นสมาชิกของสภากลาโหมเพื่อการปฏิวัติที่ตอนนั้นมีการปฏิรูปองค์กรใหม่ แต่อยู่ในตำแหน่งจนกระทั้งเดือนตุลาคม เท่านั้น เพื่อทำงานในตำแหน่งในสภาแรงงานและกลาโหม (Council of Labor and Defense) มีหน้าที่ในการจัดหาอาหารให้แก่กองทัพในช่วงที่ยังมีสงครามอยู่ เขาอยู่ในตำแหน่งนี้จน สิงหาคม 1921
1920 ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ ในวันที่ 5 เมษายน 1920 จากการประชุมพรรคครั้งที่ 9 โดยเป็นคณะกรรมในส่วนของออคบุโร (Orgburo) ซึ่งทำงานทั่วไป และอำนาจด้อยกว่าโพลิตบุโร เขาอยู่ในตำแหน่งนี้จน 23 พฤษภาคม 1924
1921 หลังจากลาออกจากตำแหน่งในสภาเศรษฐกิจแล้ว ได้รับแต่งตัั้งให้เป็นประธานสภาแรงงานและกลาโหม และในเดือนธันวาคม ได้เป็นรองประธานของคณะกรรมการประชาชน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเลนินที่กำลังมีอาการป่วย
1922 3 เมษายน ได้เข้าเป็นสมาชิกของโพลิตบุโร จากการประชุมพรรคครั้งที่ 11
1924 หลังจากการเสียชีวิตของเลนินในเดือนมกราคม
2 กุมภาพันธ์ ได้เป็นประธานของสภาคณะกรรมการประชาชน (Council of People’s Commissars) ต่อจากเลนิน เขาอยู่ในตำแหน่งจน 19 ธันวาคม 1930 ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโซเวียต
ภายใต้การนำของเขายังสนับสนุนนโยบายกึ่งทุนนิยม NEP ของเลนินต่อไป รึย์คอฟ ถูกจัดเป็นพวกสายกลางภายในพรรค แต่ว่าเขาก็ให้การสนับสนุนสตาลิน ,ซิโนเวียฟ, และคาเมเนฟ ในการชิงอำนาจกับทร็อตสกีด้วย
1925 หลังจากทร็อตสกีภายแพ้ไปแล้ว สตาลินก็แตกหักกับซิโนเวียฟ, คาเมเนฟ โดยรึย์คอฟเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับสตาลิน เพื่อสู้กับกลุ่ม United Operation ที่ทร็อตสกี,ซิโนเวียฟ,คาเมเนฟ หันมาจับมือกัน เดือนธันวาคม รึย์กอฟ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสภาแรงงานและกลาโหมแทนที่ของคาเมเนฟ
1927 กลุ่ม United Opposition พ่ายแพ้ให้กับสตาลินอย่างสมบูรณ์ ในเดือนธันวาคม ตอนนั้นแม้ว่า รึย์คอฟ จะดำรงตำแหน่งที่เทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีของประเทศ แต่่ว่าอำนาจส่วนใหญ่อยู่กับสตาลิน ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคไปแล้ว และหลังจากนี้สตาลินก็เริ่มที่จะกวาดล้างกลุ่มต่อต้านภายในพรรคและรวบอำนาจมากขึ้น
1929 รึย์คอฟ ถุกปลดออกจากตำแหน่งประธานสภาคณะกรรมการประชาชน ในวันที่ 18 พฤษภาคม
1930 ถูกปลดจากตำแหน่งประธานสภาแรงงงานและกลาโหม ในวัน 19 ธันวาคม และอีกสองวันต่อมาก็ลูกไล่ออกจากโพลิตบุโร
1931 30 พฤษภาคม ได้ทำงานในคณะกรรมการข่าวและหนังสือพิมพ์ (People’s Commissar of Post and Telegraph) ซึ่งเทียบเท่ากระทรวง ต่อมาได้มีการปรับกระทรวงนี้ใหม่เป็นคณะกรรมการกิจการสื่อสาร ( People’s Commissariat of Communication) วึ่งเขาก็ยังได้รับตำแนห่งในกระทรวงอยู่
1936 ระหว่างการกวาดล้างครั้งใหญ่ของสตาลิน สมาชิกกลุ่ม United Opposition เดิม ถูกนำตัวไปสอบสวนโชว์ (Moscow Show Trial) ผ่านโทรทัศน์ ซึ่งสมาชิกกลุ่มดังกล่าวถูกตัดสินประหารทั้งหมด
ส่วนรึย์คอฟ เขาถูกปลดจากตำแหน่งในคณะกรรมการกิจการสื่อสาร แต่ยังอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมกลางของพรรค
1937 กุมภาพันธ์ถูกไล่ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ และถูกจับในวันที่ 27 ถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำลุบยานก้า (Lybyanka prison)
13 มีนาคม รึย์คอฟ และคนอื่นๆ ร่วม 21 คน (Trial of the Twenty One) ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกเก่าแก่ผู้สร้างพรรค ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหา เป็นผู้เคยสนับสนุนทร็อตสกี หรือไม่ก็พวกฝ่ายขวา เกือบทั้ง 21 คนถุกยิงเป้าในวันที่ 15 มีนาคม 1937 มีเพียง 3 คนที่ถูกตัดสินจำคุก
1988 ในสมัยของกอร์บาเชฟ มีการล้างความผิดให้พวกเขาเหล่านั้น และมีการคืนสถานะสมาชิกพรรคให้กับพวกเขา