Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Anton Denikin

แอนตัน เดนิกิน (Антон Иванович Деникин)
    หนึ่งในผู้นำกองทัพขาว
เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1872 เกิดในจักรวรรดิรัสเซีย ในหมู่บ้าน ซเปตาล โดลนี่ ( Szpetal Dolny) ปัจจุบันอยู่ในโปแลนด์  ครอบครัวของเขาเป็นทหาร พ่อของเขาชื่ออีวาน (Ivan Efimovich Denikin) ก่อนที่จะมาเป็นทหารเขามีภูมิกำเนิดมาจากชนชั้นทาส อีวานถูกเกณฑ์เข้ามาทำงานในกองทัพนานถึง 22 ปี ก่อนที่จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการ อีวานเกษียรออกมาในปี 1869 ก่อนที่เดนิกินจะเกิด ทำให้ครอบครัวมีฐานะยากจนมากตอนที่เดนิกินเกิดมา มารดาของเขามีเชื้อสายโปแลนด์ ชื่อ อลิซาเบธ (Elżbieta Wrzesińska) เป็นช่างเย็บผ้า และเป็นภรรยาคนที่สองของอีวาน เดนิกิ้นสามารถพูดภาษารัสเซียและโปแลนด์ได้อย่างดีตัั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ
พ่อเขาเสียชีวิตในปี 1885 เดนิกิ้น ต้องทำงานเสริมเป็นติวเตอร์ให้กับเด็กในรุ่นที่อ่อนกว่าเพื่อหารายได้เสริม 
1890 เข้าเรียนที่ Kiev Junker school ซึ่งเป็นวิทยาลัยการทหาร
1895     เขาเรียนจบจากวิทยาลัยการทหาร แล้วเข้าเรียนต่อที่ Gernaral Staff Academy ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในปีแรกที่เข้าเรียนนั้นปรากฏว่าเขาสอบตกในวิชาประวัติศาสตร์และศิลปะการป้องกันตัว แต่ว่าอีกสามเดือนต่อมาเขาก็ได้สมัครเข้าเรียนใหม่อีกครั้ง 
1899 ปีที่เขาเรียนจบ ปรากฏว่าโชคไม่ดี เมื่อหัวหน้าของโรงเรียน Nikolai Sukhotin หัวหน้าสถาบันได้เปลี่ยนแปลงระบบการคำนวณเกรด ซึ่งมีผลให้เดนิกินไม่ได้รับการแต่งตั้งให้บรรจุในตำแหน่ง General Staff  ทำให้เดนิกินประท้วงโดยการส่งหนังสือร้องเรียนไปยังซาร์ ทำให้มีการเสนอให้เขาได้รับการบรรจุเป็นกรณีพิเศษ แต่เดนิกินกลับปฏิเสธโดยบอกว่าเขาประท้วงโดยไม่ได้ของความกรุณาเพียงเรียกร้องความเป็นธรรม สุดท้ายเขาเลยไม่ได้รับตำแหน่ง
1900 เขาเข้าเป็นทหารที่หน่วยกองพลปืนใหญ่ ที่ 2 ( 2nd Artillery Brigade ) เขาอยู่ที่นี่จนปี 1902 ระหว่างนี้ยังได้เขียนหนังสือร้องเรียนเรื่องการไม่ได้รับการบรรจุเป็น General Staff อีก ทำให้สุดท้ายแล้วเขาได้รับการตอบรับให้ได้รับการบรรจุในตำแหน่งดังกล่าว ที่หน่วยทหารราบที่  2 (2nd Infantry Division) และได้รับหน้าที่ฝึกหน่วยทหารในวอร์ซอ
1904     สงครามระหว่างรัสเซียและญี่ปุ่นเป็นสมรภูมิแรกที่เขาได้ร่วมรบ แม้ว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ แต่ปฏิบัติการณ์ของหน่วยทหารที่เดนิกินรับผิดชอบก็มีผลงานที่น่าประทับใจ เดนิกินนั้นได้ถูกส่งไปยังตะวันออกไกล ในเมืองฮาร์บิน รบกับญี่ปุ่นในหลายสมรภูมิร่วมถึงการรบที่เมอร์เดน (The Battle of Mukder) ซึ่งเป็นสนามรบใหญ่ครั้งสุดท้ายระหว่างรัสเซียญี่ปุ่นด้วย  หลังจากสิ้นสงครามในปี 1905 เขาก็ได้เลือนยศไปพันเอก เขาเดินทางกลับจากฮาร์บิน ในปลายปี 1905 มายังเซนต์ปีเตอร์เบิร์กในมกราคม ปี 1906 หลังจากนั้นกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในวอร์ซอต่อ
1910 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการของทหารราบหน่วยที่ 17  ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Zhytomyr ตอนเหนือของยูเครน
1914 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1เขาถูกส่งไปอยู่ในหน่วยกองทัพที่  8 ภายใต้การควบคุมของนายพลอเล็กซี บรูสิลอฟ (Alexei Brusilov) ก่อนที่ในเดือนกันยายน เขาจะได้รับหน้าที่ควบคุมหน่วย 4th Rifle Brigade  ต่อมาหน่วย ไรเฟิ้ลที่ 4 ของเขาถูกเรียกในชื่อ Iron Rifleman จากผลการปฏิบัติการรบในหลายๆ จุด ซึ่งเขาได้รับการเลื่อนยศให้เป็นพลโท และยังได้รับรางวัล Order of St.George’s weapon ตอบแทน
1916 ถูกส่งมาดูแลหน่วย 8th Corps ซึ่งปฏิบัติการณ์อยู่ในสมรภูมิด้านโรมาเนีย ซึ่งร่่วมในปฏิบัติการ Brusilov Offensive ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ทางทหารใหญ่ที่สุดของรัสเซียในสงครามโลก ครั้งที่ 1 
1917 เมื่อเกิดการปฏิวัติกุมภาพันธ์ขึ้น เขานั้นยังอยู่ในแนวรบด้านโรมาเนีย เขานั้นให้การสนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งรัฐบาลขณะนั้นได้แต่งตั้งนายพลมิคาอิล อเล็กซีเยฟ ( Mikhail Alekseyev) มาเป็นผู้บํญชาการสูงสุดของกองทัพรัสเซีย  แต่ภายหลังได้วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลเฉพาะกาลที่มีต่อกองทัพ  
สิงหาคม นายพลกอร์นิลอฟ ลาฟร์ (Kornilov Lavr) พยายามก่อการปฏิวัติ โค่นนายพลมิคาอิล อเล็กซีเยฟ เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ Kornilov Affair โดยที่เดนิกิ้นสนับสนุนนายพลกอร์นิลอฟ แต่ว่าแผนการล้มเหลว แต่ในวันที่ 28 สิงหาคม กอร์นิลอฟ และเดนิกินก็ถูกจับกุมในข้อหากบฏ
         ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติเดือนตุลาคมของบอลเชวิค เดนิกินและกอร์นิลอฟ สามารถหลบหนีออกจากได้ พวกเขามุ่งหน้าลงไปไปยัง Rostov on Don ที่เมือง Novocherkassk เพื่อร่วมกับกองกำลังทหารอาสาสมัครที่ต่อต้านบอลเชวิค (Volunteer Army) ซึ่งมิคาอิล อเล็กซีเยฟ เป็นคนตั้งขึ้นมาหลังการปฏิวัติตุลาคม โดยกอร์นิลอฟ ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ ซึ่งมีกำลังพลรวมเกือบหมี่นนาย
1918 กอร์นิลอฟ ถูกสังหารในเดือนเมษายน  ทำให้ เดนิกินได้เข้ารับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาของกองทัพทหารอาสานี้แทน ซึ่งเขาได้นำกองทัพอาสาสมัครรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพในเขตดอน ซึ่งกลายเป็นกำลังที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของประเทศ ต่อมาเข้าได้หลีกเลี่ยงการแตกแยกภายในกองทัพขาวโดยการยอมรับว่าพลเรือเอก อเล็กซานเดอร์ โคลแชก (Admiral Aleksandr Kolchak) นั้นเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพขาว
   ในปีนี้สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลงในช่วงปลายปี ทำให้มหาอำนาจตะวันตกต่างยืนมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของรัสเซีย ด้วยความหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ อังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็ให้การช่วยเหลือกองทัพขาว ซึ่งในตอนแรกก็เหมือนว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 
ในปีนี้เขาได้แต่งงานกับ คซีนี วาซิลเยฟน่า  ( Chizh Vasilievna ,  Ксении Васильевны )
1919 เป็นเวลาที่กองทัพของเขาประสบความสำเร็จสูงสุด กองทัพขาวพยายามจะบุกมอสโคว์ และสามารถยึดเมืองสำคัญในยูเครนเอาไว้ได้ 
แต่ว่านายพลเดนิกินก็ดำเนินยุทธศาสตร์ผิดผลาดหลายอย่าง อย่างเรื่องการจัดการเรื่องการเกษตร การทำเกษตรไม่เหมาะสมทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดแคลนเสบียง จนกระทั้งขยายวงกว้างกลายเป็นการคอรัปชั่นในกองทัพ เจ้าหน้าที่ทหารกลายมาเป็นโจรออกปล้นสดมภ์เสียเอง 
นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื้อฉาวที่เป็นที่ถกเกียงกันว่าเดนิกิ้นนั้นให้การสนับสนุนด้วยหรือป่าว เมื่อทหารกองทัพขาวฆ่าล้างชาวยิวกว่า 1 แสนคน ในอาณาบริเวณที่อยู่ภายใต้การครอบครอง หรือถ้าเขาไม่ได้สนับสนุน ก็แสดงว่าตัวเขาเองไม่สามารถที่จะควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนฝ่ายกองทัพแดงนั้น ในยูเครนนำโดยทร็อตสกี (Leon Trotsky) ซึ่งได้ไปจับมือกับกลุ่มของเนสเตอร์ แมคโน่ (Nestor Makhno) ซึ่งเขาควบคุมกำลังของพวกนิยมอนาธิปไตย ที่เรียกว่าเป็นกองทัพดำ 
กองทัพขาวประสบความภายแพ้ครั้งใหญ่ในเมืองโอเรล (Orel) ซึ่งห่างจากมอสโคว์ 400 กิโลเมตร ช่วงเดือนตุลาคม ทหาร 22,000 คน ของพวกเขาปะทะกับกองทัพแดงที่มีกว่าหกหมื่นคน
1920 ทหารของเขาเริ่มเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำในสงครามมาขึ้นเรื่อยๆ  กุมภาพันธ์ นายพลโกลแชค เสียชีวิต ทำให้กองทัพขาดผู้นำอย่างเป็นทางการ ช่วงเดือนมีนาคม กองทัพของเขาต้องล่าถอยออกมาจากไครเมีย ถูกไล่ตอนจนไปติดทะเล ทหารถูกสังหารบ้างก็ถูกจับ จนเดือนเมษายน เดนิกิน ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพขาวฝ่ายใต้นี้ โดยที่นายพลปีเตอร์ แวรนเกล (General Baron Pyotr Wrangel) เข้ามารับหน้าที่แทน ส่วนตัวของเดนิกินนั้นลงเรือออกจากไครเมียไปยังคอนสแตนติโนเปิ้ล ก่อนที่จะไปยังลอนดอน เขาใช้เวลาหลายเดือนในลอนดอนก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเบลเยี่ยมและต่อมาก็เดินทางไปยังฮังการี ซึ่งเหตุผลหลักก็เพื่อหาที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว
 
ระหว่างปี 1921-1926 เขาเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ The Russian Turmoil (Очерки русской смуты)ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งข้อมูลชิ้นสำคัญที่บอกเล่าความเคลื่อนไหวของกองทัพขาวและยุทธศาสตร์ในการรบในขณะนั้นให้แก่นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังได้ศึกษา
1926 เขาย้ายที่อยู่อีกครั้ง ครั้งนี้ได้พาครอบครัวไปอาศัยอยู่ในปารีส โดยที่ตัวเขายังเขียนหนังสือต่อไป และหารายได้ด้วยการเป็นอาจารย์สอนเลคเชอร์ ซึ่งเป้นรายได้หลักของเขา
1928 พิมพ์หนังสือชื่อ Officer (Офицеры)
1929 เขียนหนังสือชื่อ Old Army (Старая Армия)
1940s ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเขาเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านนาซีเยอรมัน แต่ก็ไม่สนับสนุนโซเวียต เขายินดีที่โซเวียตมีชัยในสงคราม แต่ก็ปรารถนาให้คอมมิวนิสต์ล่มสลายไปจากรัสเซีย
1945 เขาได้ย้ายไปยังสหรัฐอเมริกา อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค เพราะกลัวว่าโซเวียตจะสามารถจับตัวเขาได้ ซึ่งก็มีรายงานว่าเขาได้ถูกจับตัวได้โดยหน่วย SMERSH ของโซเวียตแล้ว แต่เมื่อมีการส่งรายงานถึงสตาลิน ก็เห็นว่าเขาแก่มากแล้ว จึงได้ปล่อยตัวไป 
ซึ่งในอีก 2 ปีต่อมา เขาได้เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ในวันที่ 8 สิงหาคม 1947 ขณะอายุได้ 74 ปี ระหว่างเดินทางไปพักผ่อนที่เมือง Ann Arbor ในมิชิแกน เขาถูกประกอบพิธีศพแบบทหารให้ในดีทรอย และอัษฐิถูกเก็บไว้ที่สุสาน St.Vladimir ในนิวเจอร์ซี 
1953 เขาเขียนชีวประวัติของตัวเองในชื่อ The Way of a Russian Officer (Путь русского офицера)
 
ในปี 2005 ลูกสาวของเดนิกิน มาริน่า (Marina Denikina) ได้มีการนำอัษฐิของเขากลับมายังรัสเซีย พร้อมด้วยอัษฐิของคซินี ภรรยา  โดยรัฐบาลของปูตินอนุญาติ เพื่อประกอบพิธีและเก็บเอาไว้ที่วิหาร Donskoy Monastery ในกรุงมอสโคว์
Don`t copy text!