Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Mikhail Kalinin

Mikhail Kalininwikipedia.org

มิคาอิล คาลินิน (Михаил Иванович Калинин)

เจ้าของฉายา the All-Union Headman (всесоюзным старостой) , ผู้นำแต่ในนามของโซเวียต
คาลินิน เกิดในครอบครัวเกษตรกร ในเขตทีเวอร์ (Tver) ที่หมู่บ้านไตรนิตีเหนือ (Upper Trinity) ใกล้กับมอสโคว์ ในวันที่  19 พฤศจิกายน 1875 พ่อของเขาชื่ออิวาน (Ivan Kalinovich Kalinin,1855-1907) ตอนเด็กเขาเรียนหนังสือระดับพื้นฐาน ที่โรงเรียนเซมสัตโว (Zemstvo school) ก่อนที่จะออกมาทำงานเป็นแรงงานในไร่ของเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง
1889 เดินทางมายังเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก โดยทำงานในร้านของช่างทำรองเท้า
1898 เข้าร่วมกับพรรค RSDLP (Russian Social  Democratic Labor Party)
1895 เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มแรงงานซึ่งประท้วงบ่อยครั้งทั้งแบบถูกและผิดกฏหมาย
1899 ถูกจับด้วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผิดกฏหมาย ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 เดือน และหลังจากออกจากเรือนจำแล้วได้เดินทางไปยังกรุงทิฟลิส ในจอร์เจีย ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับสตาลิน  
1901 ถูกจับอีกครั้งในเดือนมีนาคม และถูกส่งไปยังเมืองทาลลิน (Tallinn) เอสธัวเนีย ปัจจุบัน ซึ่งเขาได้งานทำเป็นช่างในโรงงาน Volta (Вольта)
1903 มกราคม ถูกจับอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ถูกส่งไปยังเรือนจำในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ก่อนที่ในเดือนกรกฏาคม จะถูกส่งกลับมายังทาลลิน
1905 ได้รับเสนอชื่อเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจจะได้รับเลือกเป้นคณะกรรมการกลางของพรรค , ปีนี้เขายังมีบทบาทเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ปฏิวัติ 1905 เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคคนอื่น
เขาได้รู้จักกับ เยแคทเธอริน่า ลอร์เบิร์ก (Ekaterina  Ivanovna Lorberg, Екатерине Ивановне Лорберг , 1882-1960) เธอทำงานในโรงงานทอผ้า ในกรุงทาลลิน มีเชื้อสายเอสธัวเนียโดยกำเนิด  และได้แต่งงานกันในปีถัดมา พวกเขามีลูกด้วยกัน 4  คน เป็นชายและหญิงอย่างละเท่าๆ กัน ชื่อ วาเลเรียน อเล็กซานเดอร์ จูเรีย และลิเดีย
1906 เดินทางเข้าร่วมประชุมพรรค RSDLP ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศสวีเดน
1916 ถูกจับเพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งถูกตัดสินเนรเทศไปยังไซบีเรียตะวันออก แต่ว่าเขาสามารถหลบหนีมาได้ระหว่างทางและกลับมาหลบซ่อน และทำงานให้พรรคในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กต่อ
1917 การปฏิวัติกุมภาพันธ์เขาเป็นหนึ่งในแกนนำที่ร่วมกันบุกยึดสถานีฟินแลนด์ (Finland Station) สถานีรถไฟสำคัญในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งคาลินินยังคงมีบทบาทในการพยายามปฏิวัติตุลาคม เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งเขาได้เปลี่ยนชื่อเมืองไปเป็นเปโตรกราด
1919 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธาน คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ( All-Russian Central Executive Committee ) ซึ่งการที่เขาได้รับการยอมรับมาเป็นประธานของคณะกรรมการกลางเป็นเพราะความเห็นของเลนิน ที่บอกว่า “สหายท่านนี้, ทำงานให้กับพรรคมานานกว่า 20 ปี เขามีปูมหลังเป็นจากครอบครัวชาวนาในทีเวอร์ มีความใกล้ชิดกับเกษตรกรเป็นอย่างดี , อย่างไรก็ดีการทำงานในเปโตรกลาด ได้พิสูจน์แล้วว่าเขามีความสามารถที่จะทำงานได้หลากหลายกว้างขวางร่วมกับแรงงาน”  คาลินิน จึงถูกเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของทั้งเกษตรกรและกรรมกร
ตำแหน่งที่เขาได้รับ เปรียบเสมือนผู้นำประเทศ ทว่าคาลินินกับไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง
1921 24 กุมภาพันธ์ เกิดการลุกฮือประท้วงครั้งใหญ่ บนเกาะครอนสแตดท์ (Kronstadt Uprising) ซึ่งเป็นส่วนหนึี่งของเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก แต่เป็นเกาะเดียวในอ่าวฟินแลนด์  มีประชาชนกว่า 15,000 คนที่เดินขบวนประท้วงพรรคบอลเชวิค นำโดยสเตปาน เปตริเชนโก (Stepan Petrichenko) , ทหารเรือ โดยใช้สโลแกน “Power to the Soviets, not the parties! ( Власть Советам, а не партиям!)”  ซึ่งคาลินิน ได้เดินทางมายังเกาะครอนสแตดท์  ในวันที่ 1 มีนาคม พร้อมด้วยภรรยา เพื่อพยายามเจรจากับผู้ชุมนุมให้สงบลง แต่ว่าได้มีผู้ประท้วงคนหนึ่งเดินเข้ามาฉีกแถลงการณ์ที่เขาจะอ่าน ทำให้เกิดความวุ่นวายและคาลินินต้องหนีออกมาจากเกาะ แต่ว่ามีนายทหารบางคนและเจ้าหน้าทีี่ถูกผู้ประท้วงจับขังคุก เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายซ้ายลุกขึ้นมาต่อต้านพรรคบอลเชวิค ครั้งใหญ่ที่สุด จนสุดท้ายโซเวียต โดยทร็อตสกี (Leon Trotsky) และ มิคาอิล ตุคาเชฟสกี (Mikhail Tukhachevsky) ตัดสินใจใช้กำลังทหารกว่า 6 หมื่นนายเข้าโจมตี ซึ่งเป็นผลให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก ฝ่ายต่อต้านตายราวหนึ่งถึงสองพันคน ในขณะที่ทหารของฝ่ายบอลเชวิค ตายไปกว่าพันห้าร้อยนาย ซึ่งแม้ว่าบอลเชวิคเป็นฝ่ายชนะ แต่การประท้วงครั้งใหญ่นี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลนินต้องผ่อนคลายนโยบายเศรษฐกิจที่เข้มงวด และเปลี่ยนไปใช้ NEP (New Economic Policy) แทน  และแน่นอนว่าส่งผลให้สถานะผู้นำของคาลินิน อ่อนแอลงไปด้วย , หลังจากนั้นปี 1921-1922 เขายังต้องเผชิญปัญหาการเกษตรตกต่ำ และเกิดการขาดแคลนอาหารในแถบลุ่มน้ำโวลก้าตามมาอีก ทำให้ต้องออกเดินทางไปเยี่ยมภูมิภาคแถบนี้บ่อยครั้ง
1922 ธันวาคม ได้รับเลือกให้เป็นประธานของสภาเปรสซิเดียม
1924 หลังการเสียชีวิตของเลนิน คาลินิน เป็นแกนนำสำคัญคนหนึ่งที่สนับสนุนสตาลินให้มีอำนาจ
1926 1 มกราคม ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในโพลิตบุโร ของพรรค ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งจนกระทั้งเสียชีวิต
1938 ช่วง Great Purge , 25 ตุลาคม เยแคทเธอริน่า ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 15 ปี จากการที่เธอตำหนิสตาลินว่าเป็นเผด็จการที่ซาดิสต์ สังหารคนบริสุทธิ์นับล้านคน c]t , เธอถูกส่งไปยังค่ายใช้แรงงาน แต่ในเวลาไม่นานสุขภาพของเธอ ซึ่งอายุ 60 กว่าปีแล้วนั้นก็ทรุดโทรมอย่างหนัก และกลายเป็นคนพิการ ซึ่งที่สุดแล้วเธอต้องยอมเขียนจดหมายอ้อนวอนไปยังสตาลินและยอมรับว่าเธอได้กระทำผิด ในขณะที่คาลินินเอง ไม่เคยยืนมือเข้าช่วยเหลือเธอเลย ตัวเขาเองพยายามอยู่อย่างเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียงในช่วงเวลาดังกล่าว
1945 เยแคทเธอริน่า ได้รับการปล่อยตัว ในเดือนมิถุนายน
1946 คาลินิน เสียชีวิต ขณะอายุ 70 ปี  ในวันที่  3 มิถุนายน , ศพของเขาถูกประกอบพิธีแบบรัฐพิธี และถูกฝังที่จุด Necropolis ข้างกำแพงเครมลิน
Don`t copy text!