Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

The Ghent Altarpiece

The Ghent Altarpiece หรือ Adoration of the Mystic Lamb ,The Mystic Lamb , The Lamb of God (ดัชต์ Het Lam Gods)

งานศิลปะที่ถูกขโมยมากที่สุดในประวัติศาสตร์

ภาพนี้ถูกเขียนโดยศิลปินชาวเฟลมิช (Flemish~ ผู้พูดภาษาดัตช์ ในเบลเยี่ยม) ตระกูล แวน อิคก์ (van Eyck) คือ ฮิวเบิร์ต (Hubert van Eyck) และ แจน (Jan van Eyck) โดยที่ฮิวเบิร์ต เป็นคนเริ่มลงมือเขียนภาพ The Mystic Lamb นี้ก่อนที่ แต่ว่าเขาเสียชีวิตไปในปี 1426 ก่อนที่ภาพจะถูกเขียนเสร็จ แจน จึงได้รับหน้าที่เขียนภาพต่อจนสำเร็จ
ผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ เป็นชาวเมืองเกรนต์ ชื่อ อลิซาเบธ (Elisabeth Borluut) และ จูส (Joos Vijd) เพื่อที่จะนำไปติดตั้งที่โบสถ์ เซนต์ จอห์น (St. John church) ของเมืองเกรนต์ 
The Mystic Lamb เป็นภาพเขียนแบบ โพลิปติส (Polyptych ~ การแบ่งภาพเป็นช่องๆ ) ประกอบไปด้วยภาพเขียนทั้งหมด 24 ช่อง บนกรอบไม้ที่สามารถเปิดปิดได้ ทำให้มีภาพเขียนอยู่ทั้งสองด้าน โดยภาพขณะอยู่ในลักษณะเปิด ตรงกลางด้านบน เป้นภาพของพระเยชู (Christ the King) ด้านข้างของพระคงเป็นภาพ นักบุญจอห์น(John The Baptist) และนางแมรี่ (Virgin Mary) ภาพด้านล่างเป็นภาพที่ตรงกลางมีแกะสีขาว (Lamb of God)  ล้อมด้วยเหล่าสาวก และฝูงชน
ส่วนบานพับของภาพ ด้านบน เป็นภาพเทพธิดา (Angels) ซึ่งภาพหนึ่งกำลังร้องเพลง และอีกภาพกำลังเล่นเครื่องดนตรี , ภาพด้านบนนอก เป็นภาพของ อดัม (Adam) และ อีฟ (Eve)

1471 เริ่มต้นงานเขียนภาพ Ghent Altarpiece
1432 ภาพถูกเขียนเสร็จ และถูกนำไปติดตั้งภายในโบสถ์ St. Jans
1566 เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ เมื่อกลุ่มผู้นับถือนิกายโปแตสแตนท์ ลุกฮือก่อจราจล ทำให้ภาพเขียนถูกนำไปซ่อนไว้ภายในหอคอย จนกระทั้งปี 1569
1578 ช่วงการปกครองของ Calvanistic regime ภาพถูกย้ายไปตั้งไว้ที่ศาลากลางของเมืองเกรนต์
1781 ภาพวาดส่วนที่เป็นภาพของ อดัม และ อีฟ ถูกแยกออกไปเก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุของโบสถ์ เหตุเพราะจักรพรรดิ โจเซฟ ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโฮลี่โรมัน (Joseph II, Holy Roman) เดินทางมาชมภาพ แต่พระองค์กลับเห็นว่าภาพของอดัมและอีฟ ในสภาพเปลือยกลายไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ว่าการของเมืองเกรนต์ ซึ่งได้ยินว่าพระองค์ไม่พอใจ จึงได้สั่งให้ถอดภาพดังกล่าวออก เพราะกลัวว่าภาพดังกล่าวจะถูกยึดไปทำลาย จากนั้นได้มีการเขียนภาพใหม่ที่เป็นคนใส่เสื้อผ้ามาติดไว้แทน ยาวนานกว่า 80 ปี 
1794 ทหารฝรั่งเศส (Frence Rupublic)  ของนโปเลียน ซึ่งแพร่ขยายอำนาจทั่วยุโรปเวลานั้น  โดยนายพล ชาร์ล (Charles Pichegru) ยึดเอาภาพเขียนส่วนกลาง กลับไปยังปารีส และนำไปตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre)
1815 เมื่อนโปเลียน สิ้นอำนาจ  และ หลุยส์ ที่ 13 (Louis XVIII) กลับมามีอำนาจ พระองค์ได้ส่งภาพเขียนส่วนกลางที่นโปเลียนเอามา คืนไปยังเมืองเกรนต์ 
1816 ภาพเขียนส่วนที่เป็นบานพับ ยกเว้นภาพอดัม และ อีฟ ถูกนำไปขาย และกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นผู้ซื้อไป ด้วยราคา 16,000 ปอนด์ และถูกนำไปแสดงไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ เยอมาลเดอแกลเลอเรีย (Gemäldegalerie) ในกรุงเบอร์ลิน
1822 เกิดไปไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองเกรนต์ ทำให้ต้องย้ายภาพส่วนที่เหลือหนีไป
1861 ภาพส่วนที่เป็น อดัม และ อีฟ ถูกขายให้กับพิพิธภัณฑ์ Royal Museums of Beautiful Art ในเบลเยี่ยม
1894 ภาพส่วนบานพับ ที่เหลือ 6 ภาพ ถูกนำไปตัดออกจากกัน ในเบอร์ลิน
1920 มีการทำสนธิสัญญาเวอร์เซลเลส (Treaty of Versailles) เยอรมันขายภาพเขียนให้กับเอ็ดเวิร์ด โซลลี่ (Edward Solly) ราคา 120,000$ เพื่อหาเงินเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม , ภาพเขียนที่ถูกซื้อ ถูกส่งคืนให้เมืองเกรนต์ 
1934 ภาพเขียนส่วนที่เป็นภาพ The Just Judges และภาพส่วน St. John ถูกขโมยไป ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งเริ่มต้นในสหรัฐ (Great Depression) ลุกลามไปทั่วโลก รวมถึงในเบลเยี่ยมที่มีผู้คนจำนวนมากตกงาน สิ้นหวัง ชุมนุมประท้วงและก่อความวุ่นวายขึ้น
เช้าวันที่  11 เมษายน พบว่าภาพเขียน The Just Judges และ John the Baptist  ถูกขโมยหายไปจากวิหาร St.Bavo  ในเมืองเกร็นต์  ทั้งสองเป็นภาพที่เขียนบทแผ่นไม้โอ๊คแผ่นเดียวกัน ด้านหน้าและด้านหลัง แต่ว่าถูกตัดแยกออกจากกันในเยอรมันก่อนหน้านี้ 
1 พฤษภาคม บิชอฟแห่งเมืองเกรนต์ ได้รับจดหมาย เรียกร้องเงิน 1 ล้านฟรังค์เบลเยี่ยม เป็นค่าไถ่ ซึ่งผู้เขียนลงชื่อว่า D.U.A.  หลังจากนั้นคนร้ายยังได้ส่งจดหมายติดต่อกับบิชอฟ รวมทั้งหมด 13 ฉบับ ฉบับที่ 13 ลงวันที่  1 ตุลาคม แต่ว่าไม่มีการลงท้ายว่า D.U.A.  แต่ว่าแนบใบเสร็จรับฝากของ ของสถานีรถไฟในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังสถานีรถไฟและขอรับของที่ฝากไว้ตามใบเสร็จ พบว่าเป็นภาพเขียน John The Baptist ที่มีสภาพสมบูรณ์ ไม่เสียหายอะไร
25 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และชายชราชื่อ อาร์ซีน (Arsene Theodore Victor Leopold Goedertier) และทนายของเขา จอร์จ (Geoges De Vos) มารวมกันอยู่ในวิทยาลัยโอรี่ แมรี่ (Holy Mary college) ในเมืองเดนเดอร์มอนเด (Dendermonde) , อาร์ซีน ยอมรับว่าเขาเป็นผู้ขโมยเอาภาพเขียน The Just Judges ไป และบอกว่าเขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าภาพอยู่ไหน ซึ่งตำรวจได้คนบ้านของอาร์ซีนและทนาย พบก็อบปี้ของจดหมายข่มขู่ทั้งหมด และจดหมายฉบับที่  14 ที่ยังไม่ได้ถูกส่ง , แต่ว่าในวันเดียวกันนี้ อาร์ซีน ก็ได้เสีียชีวิตลง ขณะที่การสืบสวนยังไม่เสร็จ ทำให้ไม่มีใครทราบว่า The Just Judges อยู่ที่ไหนจนปัจจุบัน
1940 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น ทางการเบลเยี่ยมตัดสินใจส่งภาพเขียน ไปยังนครวาติกัน เพื่อความปลอดภัย แต่ว่าระหว่างทางเมื่ออิตาลีประกาศเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน  ภาพซึ่งมาถึงฝรั่งเศสแล้ว ได้ถูกนำไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองปัว (Pau) เพื่อความปลอยภัย ต่อมา ผู้แทนของเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส และเยอรมัน ได้ทำข้อตกลงกันว่าจะไม่เคลื่อนย้ายภาพดังกล่าว โดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากทั้งสามฝ่าย
1942 ฮิตเลอร์สั่งให้ยึดภาพเขียน แล้วนำไปเก็บไว้ที่ปราสาทบาวาเรีย (Bavarian Castle) แต่ว่าเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีใกล้พื้นที่ดังกล่าว ก็มีการย้ายภาพดังกล่าวไปเก็บไว้ในเหมืองเกลือใต้ดิน ในออสเตรีย
1945 ภาพเขียนส่วนที่เป็น The Just Judges ถูกเขียนขึ้นใหม่ มาทดแทนของเดิมที่ยังหายสาบสูญ โดยศิลปินผู้วาด คือ เจฟ แวนเดอร์เวเกน (Jef Vanderveken)
1946 หลังสงครามโลกอเมริกานำภาพส่งคืนให้กับเบลเยี่ยม และมีการจัดแสดงไว้ที่พระราชวังในกรุงบรัสเซลส์ (Royal Palace of Brussels) และเปิดให้สื่อมวลชนเข้าชม แต่ทางการบรัสเซลส์ ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเข้าชม เป็นการประท้วงที่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลก ยอมให้เยอรมันเอาภาพเขียนไป
1986 ถูกนำไปเก็บไว้ที่ Villa chapel ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรักษาปัจจุบัน
เมื่อ ต้นเดือนมีนาคม โครงการ Interdisciplinary Research Project to Assess the Structural the Ghent Altarpiece ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ เมษายน 2010 ถึง มิถุนายน 2011 เพื่อซ่อมแซมภาพเขียน และศึกษาภาพเขียนดังกล่าว โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิ The Getty Foundation ได้เปิดเผยภาพ The Ghent Altarpiece ความละเอียดสูง ขนาดหนึ่งพันล้านพิกเซล ให้ชมกันได้ฟรีผ่านเว็บไซด์ CloserToVanEyck.kikirpa.be
Don`t copy text!