Numquam prohibere somniantes 

Never stop dreaming

Marina Tsvetaeva

มาริน่า ชเวทีว่า (Марина Ивановна Цветаева)

กวี ยุค Silver Age หนึ่งในกวีที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 ของรัสเซีย 

เธอเกิดในมอสโคว์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1892 พ่อของเธอเป็นอาจารย์สอนศิลปะและประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ชื่อ อีวาน (Ivan Vladimirovich Tsvetaev) อีวานเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะพุชกิ้น (Pushkin Museum of Fine Arts) ซึ่งเขาใช้เวลากว่า 25 ปี
แม่ของเธอชื่อ มาเรีย (Maria Aleksandrovna Meyn)  เป็นภรรยาคนที่สองของอีวาน เธอเป็นนักดนตรี มีคนโรแมนติกและชอบอ่านหนังสืออย่างมาก เธอมีเชื้อสายโปแลนด์เยอรมัน , มาเรีย ป่วยด้วยวัณโรค ตั้งแต่ปี 1902 ทำให้ครอบครัวเดินทางไปยุโรป เพื่อหาอากาศที่อบอุ่นกว่า เพื่อให้เธอพักผ่อน ทำให้มาริน่าต้องย้ายโรงเรียนบ่อยด้วยในช่วงนี้ 
1904 มาริน่า เข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองลัวเซนน์ ( Lausanne) สวิสเซอร์แลนด์
1906 ระหว่างที่เดินทางกลับมารัสเซีย มาเรียก็เสียชีวิตในเมืองทารูซ่า (Tarusa) แถบไครเมีย , หลังจากนั้นมาริน่า ได้เข้าเรียนมัธยมในเมืองมอสโคว์ แต่ว่าเธอมักเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เธอสนใจเท่านั้น 
1908 ตอนอายุ 16 ได้ย้ายไปฝรั่งเศส เรียนด้านประวัติศาสตร์วรรณกรรมโรงเรียนในเมืองซอร์บอนน์ (Sorbonne)
1910 พิมพ์ผลงานเขียนโครง เล่มแรก ชื่อ Evening Album (Вечерний альбом ) แม้ว่ายังไม่ได้รับความสนใจมาก แต่ก็มีนักเขียนดังของรัสเซีย อย่าง แม็กซิมิเลียน โซโลชิน (Maximilian Voloshin), นิโคไล กุมิเลฟ (Nikolay Gumilev) ที่ได้อ่านงานของเธอ ซึ่งนั้นทำให้มาริน่า ได้รู้จักกับโวโลชินด้วย ซึ่งมิริน่า เดินทางไปพักที่บ้านของโวโลชิน ในเมืองคอคเตเบล (Koktebel) ไครเมีย ริมฝั่งทะเลดำหลายครั้ง ซึ่งทำให้เธอได้พบกับสามีในอนาคตของเธอในเมืองนี้ด้วย ในปี 1911 เขาชื่อเซอร์เกย์ อีฟรอน (Sergey Efron,  Сергеем Эфроном) อีฟรอนอายุน้อยกว่ามาริน่าปีหนึ่ง เขามาจากครอบครัวที่น่าเศร้า พ่อของเขาตายเสียชีวิตตั้งแต่เล็กและแม่ก็ฆ่าตัวตาย 
1912 มกราคม , มาริน่าและอีฟรอน แต่งงานกัน ซึ่งต่อมาทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันสองคน อัลย่า (Alya~Ariadna, b.1912) และ อิริน่า (Irina, b.1917) แต่ว่ามาริน่าเองนั้น มักมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้หญิงด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือกวีอย่าง โซเฟีย ปาร์นอก (Sofia Parnok)
มีผลงาน Magic Lantern(Волшебный фонарь) เป็นผลงานชิ้นที่สอง ซึ่งเธอได้รับอิทธิพลจากนักเขียนซึ่งนิยมสัญลักษณ์วิทยา อย่างวาเลรี่ บรุซอฟ (Valery Bryusov)
1914 อีฟรอน อาสาสมัครเข้าเป็นทหารในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 โดยเป็นผลทหารสำรองประจำการอยู่ในมอสโคว์
1917 ช่วงการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย มาริน่าไม่ต่อต้านการปฏิวัติครั้งนี้ ส่วนอีฟรอน ได้เข้าร่วมกับฝ่ายของกองทัพขาว, อริน่า เดินทางาไปหาอีฟรอน ที่มอสโคว์ในช่วงสงครามกลางเมืองในรัสเซีย แต่ว่าเธอไม่มีโอกาสได้พบสามีนานกว่า 5 ปี และต้องดำรงชีวิตอย่างอดยากเป็นอย่างมาในช่วงนี้
ช่วงสงครามกลางเมือง 1917-1922 แต่งบทกวี ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์และเชิดชูฝ่ายตรงข้าม ผลงานที่เขียนในช่วงนี้เช่น The Encampment of the Swans, Tsai Maiden รวมแล้วมีผลงานออกมาในช่วงนี้กว่า 300 ชิ้น
ปี 1919 เธอทิ้งลูกสาวคนเล็ก อิริน่า ไว้ที่ศูนย์ผู้ลี้ภัย เพราะว่าไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของเธอได้สองคนพร้อมกัน ซึ่งสามเดือนต่อมาอิริน่าก็เสียชีวิต 
1921 ได้รับข่าวจากยีฟรอน อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเธอมีโอกาสได้พบเขาหลังจากสงครามในประเทศจบไปแล้ว 
1922 พฤษภาคม ยูฟรอนและมาริน่า พบกันในกรุงปรากก่อนเดินทางไปอยู่ในเบอร์ลินด้วยกัน โดยที่มาริน่าเริ่มพิพม์ผลงานของเธอออกมาอีก ซึ่งมันถูกพิมพ์ทั้งในเยอรมันและรัสเซียบ้านเกิด ทำให้เธอได้รับการยอมรับในฐานะนักกวี แต่ว่างานเขียนไม่ได้ทำให้เธอมีรายได้เพียงพอ บ่อยครั้งที่ครอบครัวต้องขาดเงิน 
ไม่นานพวกเธอบ้ายไปอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับกรุงปราก ซึ่งพวกเขาใช้ชีวิตที่นี่นานกว่า 3 ปี
1925 ย้ายมาอยู่ในฝรั่งเศส ในปารีสซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางผู้อพยพชาวรัสเซีย โดยที่มาริน่าเข้าร่วมกลับกลุ่มของนักเขียนหลายกลุ่ม และพิมพ์งานของเธอออกมา เพื่อหารายได้
ยีฟรอน มีอาการป่วยเป็นโรคคิดถึงบ้าน เขาร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม Returning to the Motherland แม้ว่ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ NKVD ของโซเวียตจัดตั้งขึ้นมาก็ตาม
ปีนี้มาริน่า ให้กำเนิดลูกชาย ชื่อจอร์จี (Georgy) แต่อิลิน่า ไม่ชอบชื่อนี้ของลูกชายนัก และเรียกเขาว่า Mur แทน
1937 ยีฟรอน เดินทางหนีออกจากฝรั่งเศสกลับโซเวียต พร้อมกับลูกสาวคนโต ทำให้มาริน่า ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับ เพราะคิดว่าเธอรู้เห็นกับการที่สามีทำงานให้ NKVD
1939 มาริน่า และลูกชาย เดินทางกลับโซเวียต ในเดือนมิถุนายน แต่ว่าไม่นานสามีและลูกสาวคนโต ก็โดนทางการจับ , มาริน่า ต้องไปทำงานให้กับสหภาพนักเขียน เป็นนักแปล เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
1941 เมื่อนาซีเยอรมันเร่ิมทิ้งระเบิดในมอสโคว์ มาริน่าและลูกชายอพยพไปยังเมืองเยลาบุก้า (Yelabuga) ในตาร์ต้าสถาน , แต่เพราะว่าไม่สามารถหาเงินเลี้ยงชีพตัวเองได้ แม้ว่าจะพยายามสมัครงานหลายอย่างแต่ถูกปฏิเสธ สุดท้ายเธอแขวนคอตายในวันที่  31 สิงหาคม 1941
ยีฟรอน ถูกทางการโซเวียตตัดสินประหารในเดือนสิงหาคม ไล่เลี่ยกับการเสียชีวิตของมาริน่า , ส่วนลูกชายคนเดียวก็เสียชีวิตในปี 1944 ช่วงสงครามโลก , สถานที่ฝังศพของมาริน่า ไม่เป็นที่ทราบกัน
ลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ อัลย่า อยู่ในคุกนานกว่า 8 ปี ก่อนจะถูกเนรเทศไปไซบีเรีย ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวหลังสตาลินเสียชีวิต ซึ่งต่อมาเธอเป็นนักเขียน และเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของเธอออกมา
Белый был , Красным стал
Кровь обагрила
Красным был белый стал
Смерть Побелила
he was white , now he is red
blood has reddened him
He was red , now he is white
Death has whitened him

Don`t copy text!