สตานิสลาฟ เปตรอฟ (Станислав Евграфович Петров)
เปตรอฟ เกิดวันที่ 7 กันยายน 1939 ในวลาดิวอสต๊อก, สหภาพโซเวียต พ่อของเขาเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 ชื่อเยฟกราฟ (Yevgraf) โดยในตอนนั้นเขาทำหน้าที่ขับเครื่องบินรบ ส่วนแม่มีอาชีพเป็นนางพยาบาล
เปตรอฟ จบการศึกษาจากสถาบันวิศวกรรมการบินทหาร (Kiev Military Aviation Engineering Academy) ในเคียฟ
1972 เข้าเป็นทหารในกองกำลังป้องกันทางอากาศ (Soviet Air Defence Forces)
1979 สหรัฐฯ นำนิวเคลียร์มิสไซด์ Pershing II จำนวน 108 มิสไซด์เข้าไาปติดตั้งในยุโรป
1981 มกราคม, เรแดน (Ronald Reagan) ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สหภาพโซเวียตซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ จะโจมตีสหภาพโซเวียตก่อนด้วยอาวุธนิวเคลียร์ จึงได้เริ่มปฏิบัติการณ์ไรอัน (Operation RYAN , RYAN ย่อมาจาก Raketno Yadernoe Napodenie, Ракетно Ядерное Нападение) ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ด้านข่าวกรองเพื่อหาข่าวเกี่ยวกัแผนการณ์ของเรแกน ปฏิบัติการณ์ไรอันน้ริเริ่มโดยยูริ แอนโดปอป (Yuri Andropov) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการของ KGB
1983 1 กันยายน, สหภาพโซเวียตยิงเครื่องบินโดยสาร KAL 007 ของเกาหลีใต้ ซึ่งเครื่องบินบินจากอลาสก้าจะกลับเกาหลีใต้ แต่ว่าเครื่องบินใช้เส้นทางผิดผลาด จนละเมิดนานฟ้าสหภาพโซเวียตเข้าไปหลายร้อยกิโลเมตร เครื่องบิน Su-15 ของโซเวียตจึงได้ยิงเครื่องบิน KAL007 ทำให้ผู้โดยสารและลุกเรือทั้งหมด 269 คน เสียชีวิต ซึ่งผู้โดยสารเป็นชาวอเมริกันหลายคน รวมถึงวุฒิสมาชิก แลร์รี่ แม็กโดนัล (Larry McDonald) การสอบสวนสาเหตุหลังเหตุการณ์ดังกล่าว 10 ปี ต่อมาโดย ICAO (Internatinal Civil Aviation Organization) ระบุว่านักบินตั้งระบบนำทางอัตโนมัติ (autopilot) ผิดผลาด
26 กันยายน, ระหว่างท่เปตรอฟกำลังเข้าเวรอยู่ที่ฐานป้องกันการโจมตีทางอากาศเซอร์ปุคอฟ-15 (Serpukhov-15 anti-aircraft defense base) ซึ่งอยู่ใต้ดินใกล้กับมอสโคว์ ฐานทัพแห่งนี้ได้ติดตั้งระบบ Oko เอาไว้ Oko เป็นระบบตรวจจับและติดตามจรวจมิสไซด์ ซึ่งประกอบไปด้วยดาวเทียมหลายดวง ในวงโคจร Molniya และ GSO
ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ระบบปัองกันขีปนาวุธได้แจ้งเตือนเปตรอฟว่ามีขีปนาวุธลูกหนึ่งกำลังมุ่งมา และต่อมาก็แจ้งเตือนว่ามีขีปนาวุธถูกยิงออกมาอีก ซึ่งรวมแล้วทั้งหมด 5 ลูกที่ ถูกยิงออกมาจากดินแดนสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากที่สัญญาณเตือนแล้ว เปตรอฟก็ทำการตรวจสอบระดับการยืนยันซึ่งมี 30 ระดับ ซึ่งสัญญาณเตือนครั้งนี้ผ่านหมดทุกระดับ หลังจากการแจ้งเตือนแล้ว เปตรอฟมีเวลาราว 10 นาทีในการตัดสินใจที่จะรายงานหัวหน้าว่ากำลังถูกโจมตี แต่ตัวของเขาเองนั้นกลับไม่เชื่อสัญญาณเตือนที่ปรากฏขึ้น เพราะเขาเห็นว่า Oko ยังเป็นระบบใหม่ ซึ่งไม่น่าจะเชื่อถือ และจากการฝึกมา ทำให้เขาเชื่อว่าถ้าสหรัฐฯ จะโจมตีสหภาพโซเวียตจริง น่าจะเป็นการโจมตีด้วยอาวูธนิวเคลียร์ที่มากกว่านี้ เพื่อให้จบและปิดโอกาสที่สหภาพโซเวียตจะโจมตีกลับ นอกจากนั้นเปตรอฟยังได้ติดต่อสถานีเรดาห์ที่อยู่ภาคพื้นดิน ซึ่งสถานีเรดาห์ภาคพื้นดินไม่สามารถตรวจจับว่ามีจรวดมิสไซด์ยิงเข้ามาได้ เปตรอฟจึงได้ตัดสินใจรายงานผู้บังคับบัญชาว่าระบบทำงานผิดผลาด
เปตรอฟได้รับการชื่นชมจากผู้บังคับบัญชาของเขาในตอนแรก แต่ว่าต่อมาเนื่องจากเปตรอฟไม่ได้จดบันทึกเหตุการณ์อย่างเพียงพอ (เปตรอฟ ตอบคณะกรรมสอบสวนว่า สาเหตุมาจากมือข้างหนึ่งของเขาต้องถือโทรศัพท์และมืออีกข้างก็ถืออินเตอร์คอมเอาไว้ และเขาไม่มีมือที่สาม)
ซึ่งการสอบสวนในภายหลังพบว่าสาเหตุที่ระบบเตือนภัยทำงานผิดผลาดเพราะแสงอาทิตย์ที่กระทบเข้ากับเรดาห์ของดาวเทียม
7 พฤศจิกายน, Able Archer 83 กลุ่มนาโต้ (NATO) ทำการซ้อมรบครั้งใหญ่ โดยสหรัฐฯ ได้ปรับระดับของระบบ DEFCON ขึ้นไปถึงระดับ 1 ซึ่งเป็นระบบสูงสุด ในกรณีที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเมื่อวิกฤตนิวเคลียร์ในคิวบา ซึ่งใช้แค่ระดับ 2
1984 เปตรอฟย้ายจากกองทัพมิสไซด์ไปอยู่ที่สถาบันวิจัยเกี่ยวกับระบบป้องกันภัยแทน
1988 ยูริ โวตินเชฟ (Yuri Votintsev) อดีตนายพลประจำกองทัพมิสไซด์ของสภาพโซเวียต ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อและเล่าความทรงจำเกี่ยวกับวีรกรรมของเปตรอฟในเหตุการณ์ปี 1983 ทำให้สื่อต่างๆ พากันเผยแพร่เรื่องความผิดผลาดของระบบเตือนภัยและช่วงเวลาที่โลกเสี่ยงกับสงครามนิวเคลียร์ที่สุดครั้งหนึ่ง
2013 เปตรอฟได้รับรางวัล Dresden Prize
2017 19 พฤษภคม, เสียชีวิตในเฟรียซิโน่ (Fryazino, Moscow )